สื่อสหรัฐรายงานว่า โจ ไบเดน ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ เลือก “ลอยด์ ออสติน” อดีตนายพลผู้นำทหารสหรัฐบุกกรุงแบกแดดเมื่อปี 2546/2003 และได้สร้างผลงานขึ้นเป็นผู้บัญชาการ กองบัญชาการกลางกองทัพสหรัฐฯ นั่งรมว.กลาโหม หากผ่านการรับรองจากวุฒิสภาแล้ว เขาจะเป็นรมว.กลาโหมแอฟริกัน-อเมริกันคนแรกในประวัติศาสตร์สหรัฐ การเลือกอดีตแม่ทัพบุกอิรัก-อัฟกานิสถาน มานั่งเก้าอี้ รมว.กลาโหมน่าจะบอกสัญญาณการให้น้ำหนักของการใส่ใจเป็นพิเศษ ต่อสถานการณ์ในตะวันออกกลาง จับตาความขัดแย้งสหรัฐ-อิสราเอล-อิหร่าน ที่นับวันตึงเครียด มีการเคลื่อนไหวทางการทหารและการทูตความมั่นคงถี่กระชั้นทุกฝ่าย ท่ามกลางโควิด-19 ระบาดหนักทั่วโลก
ซีเอ็นเอ็น, โพลิติโก และนิวยอร์กไทม์ รายงานว่า ในงานแถลงในเมืองวิลมิงตัน รัฐเดลาแมร์ เมื่อวันพุธที่ 9 ธ.ค. 2563 นาย โจ ไบเดน ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ และนางคามาลา แฮร์ริส ว่าที่รองประธานาธิบดี เสนอชื่อพลเอก ลอยด์ ออสติน เป็นว่าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของพวกเขาอย่างเป็นทางการ ซึ่งหากได้รับการรับรองจากวุฒิสภา เขาจะกลายเป็นคนผิวสีคนแรกที่ได้เป็นผู้นำเพนตากอน เขาได้ตัดสินใจแล้วและจะแถลงยืนยันในวันศุกร์ (11 ธ.ค.)
ผลงานเข้าตา-ฝ่าแนวรบตะวันออกกลาง
นายพลออสติน เคยทำงานร่วมกับนายไบเดนอย่างใกล้ชิด สมัยเป็นรองประธานาธิบดีของรัฐบาลโอบามา นายพลออสตินดำรงตำแหน่งเป็นรองเสนาธิการกองทัพ และผู้บัญชาการกองทัพสหรัฐฯ ในอิรัก ก่อนจะได้เป็นผู้บัญชาการกองบัญชาการกลางของกองทัพสหรัฐฯ โดยนายไบเดนกับนายออสตินเคยปรึกษาหารือกันในหลายเรื่อง ตั้งแต่ปัญหาในตะวันออกกลาง, เอเชียใต้ และเอเชียกลาง
นายไบเดนกล่าวภายในงานว่า นายพลออสตินเป็นคนที่ เขาทำงานด้วยอย่างใกล้ชิดมาหลายปี และเคยเห็นเขาสร้างผลได้ในมาตรฐานสูงสุดภายใต้แรงกดดันมหาศาล “ในความคิดของผม ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาคือคนที่ใช่สำหรับตำแหน่งนี้ ณ ตอนนี้”
นายไบเดน กล่าวว่านายพล ลอยด์ ออสติน เป็นคนที่เหมาะสมที่สุดในช่วงเวลานี้และเรียกร้องให้วุฒิสภารับรองนายพลออสตินอย่างรวดเร็ว หากได้รับการรับรอง นายพลออสตินจะเป็นผู้นำผิวสีคนแรก ของกระทรวงกลาโหมสหรัฐ แต่เขาจำเป็นต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาให้ดำรงตำแหน่งนี้เนื่องจากเขาพ้นจากราชการทหารไม่ถึง 7 ปี ตามที่กฎหมายกำหนด
ด้านนายพลออสติน กล่าวว่า เขาทราบดีถึงช่วงเวลาสำคัญครั้งประวัติศาสตร์ หากเขาได้รับการรับรองจากรัฐสภา และเขาถือว่าตอนนี้ตนเองเป็นพลเรือนไม่ใช่ทหาร นายพลออสตินวัย 67 ปี เคยเป็นผู้บัญชาการทหารสหรัฐในอิรัก ก่อนเป็นผู้บัญชาการกองกำลังกลางของสหรัฐในภูมิภาคตะวันออกกลาง ตั้งแต่ปี 2553-2559 ซึ่งเท่ากับว่า เขาพ้นจากราชการทหารเพียง 4 ปี อย่างไรก็ตามกฎหมายฉบับนี้เคยยกเว้นมาแล้ว 2 ครั้ง รวมทั้งเมื่อปี 2560 ซึ่งประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เสนอชื่อนายพลเจมส์แมททิส เป็นรัฐมนตรีกลาโหม
หากนายพลออสตินเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีกลาโหม เขาจะต้องรับหน้าที่บริหารกองทหารประจำการราว 1.2 ล้านคน ซึ่งมีเพียงร้อยละ 16 ที่เป็นทหารผิวสี อย่างไรก็ดี ทหารผิวสีส่วนใหญ่มักมียศในระดับชั้นผู้น้อย และมีส่วนน้อยที่ได้รับการเลื่อนยศในระดับสูง ประเด็นดังกล่าวมีความชัดเจนมากขึ้นในปีที่ผ่านมา เมื่อเหล่าพลทหารชายหญิงเชื้อสายแอฟริกันอเมริกันประกาศตัวสนับสนุนการประท้วงแบล็ก ไลฟ์ส แมทเทอร์ (Black Lives Matter) เพื่อต่อต้านตำรวจที่เหยียดผิวและใช้กำลังเกินกว่าเหตุ
นายพลออสตินอาจต้องเผชิญกับความท้าทายต่าง ๆ หากเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีกลาโหม ไม่ว่าจะเป็นการดำรงตำแหน่งที่ควรเป็นของพลเรือน และการมีความสัมพันธ์กับอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ เนื่องจากเขาเคยรับตำแหน่งในบริษัทที่ประกอบธุรกิจดังกล่าวหลังเกษียณราชการ
ประวัติผลงานในกองทัพ
อดีตนายพลผู้นี้ รับใช้กองทัพสหรัฐมานาน 40 ปี เขาจบการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยเวสต์พอยต์
ในเดือนมีนาคม 2003 เขาเป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 3 เมื่อครั้งกรีฑาทัพจากคูเวตเข้าสู่แบกแดด ส่วนหนึ่งในปฏิบัติการบุกอิรักของกองทัพสหรัฐฯ จากนั้นในช่วงปลายปี 2003 จนถึงปี 2005 เขาถูกส่งไปประจำการในอัฟกานิสถาน รับผิดชอบบัญชาการกองกำลังเฉพาะกิจร่วมผสม 180 ในปฏิบัติการที่นำโดยสหรัฐฯ เพื่อหาทางคืนเสถียรภาพแก่สถานการณ์ความมั่นคงในอัฟกานิสถาน
ต่อมาในปี 2010 เขาก้าวเป็นผู้บัญชาการกองกำลังสหรัฐฯ ในอิรัก และอีก 2 ปีต่อมาได้เลื่อนขั้นเป็นผู้บัญชาการกองบัญชาการกลางแห่งกองทัพสหรัฐฯ ซึ่งรับผิดชอบปฏิบัติการทั้งหมดของเพนตากอนในตะวันออกกลางและอัฟกานิสถาน
เกษียณอายุจากกองทัพในปี 2016 และเข้าร่วมเป็นบอร์ดบริหารของเรย์เธียน เทคโนโลยีส์ บริษัทคู่สัญญารายใหญ่ที่สุดของเพนตากอน