เปิดที่ดินสนง.ทรัพย์สินฯ2แปลงน้องธนาธรจ้องฮุบ? เผยวันนัดมีทวงเงินคืนด้วย

2515

จากที่เมื่อวันที่ 9 ธ.ค. 63อิทธิพร แก้วทิพย์ โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด แถลงบางช่วงกรณีข่าวอัยการสั่งไม่ฟ้องและไม่ดำเนิน คดีสกุลธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานบริษัทเรียลแอสเสท ดิวิลอปเม้นท์จำกัด ให้สินบนเจ้าหน้าที่สำนักทรัพย์สินส่วนพระ มหากษัตริย์  20 ล้านบาท

ทั้งนี้คดีดังกล่าว เป็นคดีระหว่างนายอิศรา จารุวนิชกุล ผู้กล่าวหา และนายประสิทธิ์ อภัยพลชาญ ผู้ต้องหาที่ 1 นายสุรกิจ ตั้งวิทูวนิช ผู้ต้องหาที่ 2

โดยผู้ถูกตั้งข้อกล่าวหา ร่วมกันปลอมเอกสารราชการและใช้เอก สารราชการปลอม และร่วมกันเรียกรับหรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด สำหรับตนเองหรือผู้อื่น เป็นการตอบแทนในการที่จะจูงใจ หรือได้จูงใจเจ้าพนักงานโดยทุจริต หรือผิดกฎหมาย ให้กระทำการหรือไม่กระทำการในหน้าที่ เหตุเกิดมี.ค.-พ.ย.60 ต่อเนื่องในท้องที่แขวงดุสิต เขตดุสิต และแขวงบางกะปิ เขตห้วยขวาง โดยคดีดังกล่าวศาลมีคำสั่งจำคุกผู้ต้องหาคนที่ 1 ,2 ไปแล้วเมื่อวันที่ 27 พ.ย.62

นอกจากนี้ โฆษกอัยการสูงสุด ยังกล่าวอีกว่า เมื่อต้นปี 60 นายประสิทธิ์ ผู้ต้องหาคนที่ 1และนายสุรกิจ ผู้ต้องหาที่ 2 ได้ร่วมกันปลอมหนังสือราชการของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ 2 ฉบับ แล้วนำไปแสดงต่อนายสกุลธร ว่าสำนักทรัพย์สินฯมีที่ดินจะให้เช่าเพื่อทำธุรกิจ 2 แปลง ในซอยร่วมฤดี และในเขตสำนักงานใหญ่องค์การโทรศัพท์ชิดลม

“นายสกุลธร สนใจจึงตกลงว่าจ้างนายสุรกิจ ผู้ต้องหาที่ 2 เป็นผู้แทนดำเนินการในเรื่องดังกล่าว ในวงเงินสัญญาจ้าง 500 ล้าน บาท เพื่อให้นายสุรกิจให้ติดต่อนายอิศรา โดยอ้างว่านำไปจ่ายค่าจ้างดำเนินการเพี่อ “ล็อคผู้ใหญ่” โดยมีการจ่ายเงินงวดแรกเมื่อเดือนม.ค. 60 จำนวน 5 ล้านบาท โดยให้นายประสิทธิ์ ผู้ต้องหาที่ 1 นำไปให้เจ้าหน้าที่สำนักงานทรัพย์สินทำเอกสารปลอมและส่งให้นายสุรกิจนำไปให้นายสกุลธร เพื่อยืนยันว่าผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติที่จะเป็นผู้เช่าที่ดิน

เมื่อวันที่ 5 พ.ย.60 นายสกุลธร ได้จ่ายเงินให้อีก 5 ล้านบาท และมีการนัดทำสัญญา โดยระบุว่านายสกุลธร ได้สิทธิเช่าที่ดินทั้ง 2 แปลง และขอให้ผู้ต้องหาที่ 2 เร่งดำเนินการ พร้อมกับออกเอกสารเชิญบริษัทฯให้เข้าร่วมประชุม จึงทำให้นายสกุลธร จ่ายเงินให้ผู้ต้องหาที่ 2 อีกจำนวน 10 ล้านบาท รวมจ่าย 3 ครั้งเป็นเงิน 20 ล้านบาท แต่ปรากฎว่าเมื่อถึงวันนัดหมายได้มีการยกเลิกการประชุม นายสกุลธร จึงได้ทวงเงินคืน โดยผู้ต้องหาที่สอง ได้คืนเงินให้จำนวน 7 ล้านบาท” โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าว