จากที่วันนี้ (20 สิง.ค.63) มีการประชุมของคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญ พิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ.2564 เป็นการพิจารณางบประมาณส่วนราชการในพระองค์
ทั้งนี้มีเจ้าหน้าที่จากสำนักงบประมาณเป็นผู้ชี้แจง ขณะนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ในฐานะที่ปรึกษากมธ.ฯร่วมซักถามด้วย โดยนายธนาธรได้ขอให้สำนักงบประมาณช่วยชี้แจงว่า ทำไมงบประมาณส่วนราชการในพระองค์เพิ่มขึ้นในอัตราสูงมาก ซึ่งเจ้าหน้าที่สำนักงบฯ ชี้แจงว่า ที่วงเงินเพิ่มขึ้นส่วนใหญ่เป็นงบบุคลากรของหน่วยงานที่รับโอนมาตาม พ.ร.ก.โอนอัตรากำลังพลและงบประมาณบางส่วนของกองทัพบก กองทัพไทย กระทรวงกลาโหม ไปเป็นของหน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ ซึ่งเป็นส่วนราชการในพระองค์ พ.ศ.2562 ซึ่งนายธนาธรเห็นต่างในกรณีดังกล่าว
นายธนาธร กล่าวว่า งบที่เพิ่มขึ้นนี้ ตอนแรกตนก็คิดว่างบที่เพิ่มขึ้นมาจากในส่วนนั้น คือ แบกรับมาจากกระทรวงกลาโหม ตาม พ.ร.ก.โอนอัตรากำลังพลฯ เพราะงบของกองทัพบกเองก็ลดลง แต่พอไปดูเอกสารของกระทรวงกลาโหม พบว่า มีการโอนแต่บุคลากร กระทรวงกลาโหม ยังถืองบประมาณตรงนี้ไว้อยู่ ปีละประมาณ 1,200 ล้านบาท ดังนั้นถ้าตามนี้หมายความว่างบที่เพิ่มขึ้นเกิดจากส่วนราชการในพระองค์เอง
“ตนเชื่อว่าพระองค์ท่านไม่ได้มีส่วนร่วมในการกำหนดงบประมาณ แต่เป็นหน่วยงานนำเสนอขึ้นมาเอง ตนอยากถามผู้บริหารหน่วยงานว่าการนำเสนองบประมาณเพิ่มขึ้นปีละ 16.8 เปอร์เซ็นต์ ในขณะที่ประเทศกำลังยากลำบาก เก็บภาษีไม่เข้าเป้า หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นในอัตราน่าใจหาย ประชาชนที่ให้ความร่วมมือกับการอยู่บ้านต่อสู้โควิด ทำให้รายได้ลดลง ต้องอยู่อย่างอยากลำบาก
การที่ท่านเพิ่มงบประมาณ 16.8 เปอร์เซ็นต์ต่อปีเหมาะสมหรือไม่ การนำเสนองบประมาณเช่นนี้ ทำให้พระองค์ท่านเสื่อมเสียพระเกียรติหรือไม่ ที่มากไปกว่านั้น และเหตุผลที่ตนต้องตั้งคำถาม คือ งบประมาณส่วนงานในพระองค์เพิ่มขึ้นในอัตราที่น่าตกใจและเพิ่มไม่หยุด” นายธนาธร กล่าว ก่อนแสดงสไลด์ต่อที่ประชุม ซึ่งเป็นสไลด์ที่ให้รายละเอียดเปรียบเทียบงบประมาณส่วนราชการในพระองค์แต่ละปีงบประมาณ โดยยึดมาจากเอกสารงบประมาณปี 2561-2564
“ผมยืนยันว่า พระมหากษัตริย์ ต้องได้รับการปฏิบัติอย่างสมพระเกียรติ ซึ่งผมเชื่อว่าพระองค์ท่านไม่ได้ทำงบประมาณ หากแต่เป็นผู้บริหารในส่วนราชการในพระองค์เป็นผู้ทำ การให้งบประมาณหน่วยงานเพิ่มขึ้นอย่างอธิบายไม่ได้ มีแต่จะทำให้พระองค์เสื่อมเสีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่ประเทศและประชาชนย่ำแย่ยากลำบาก ผมอยากได้รายละเอียด ช่วยชี้แจงรายละเอียดในเอกสาร
เพราะผมคิดว่าถ้าเราได้รายละเอียดจะทำให้เราช่วยส่วนราชการในพระองค์พิจารณาอย่างถี่ถ้วน ช่วยรับรองและชี้แจงต่อสาธารณะได้ว่างบประมาณเหมาะสม หรือมิเช่นนั้น ขอให้ทางหน่วยงานปรับลดลง โดยให้เพิ่มขึ้นจากปี 2563 ร้อยละ 3.1 เท่ากับภาพรวม ถ้าเป็นจำนวนเงิน คือ เพิ่มขึ้น 243 ล้านบาท จากปีที่แล้ว หรือลดลง 873 ล้านบาทจากงบประมาณ ปี 2564 ที่ขอมา” นายธนาธร กล่าว
นอกจากนี้นายธนาธร ยังกล่าวอีกว่า เพื่อให้สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นศูนย์รวมจิตใจของคนทั้งชาติ ในสภาวะวิกฤต เมื่อทุกหน่วยงานพยายามตัดลดงบประมาณ เมื่อประชาชนและข้าราชการต่างก็ร่วมมือร่วมใจกันเสียสละ อดทน ต่อสู้ไปด้วยกัน หากส่วนราชการในพระองค์ยอมตัดงบประมาณลง ย่อมทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์สูงเด่นขึ้น เพราะเมื่อประชาชนมองมาก็จะเห็นได้ว่าสถาบันพระมหากษัตริย์ก็ทรงร่วมทุกข์ร่วมสุขกับประชาชน
“ตนยังกังวลในเรื่องหลักการ การที่ส่วนราชการในพระองค์ไม่ต้องมีเอกสาร ไม่ต้องมาชี้แจงต่อต่อ กมธ. นั้น ทำให้ไม่สามารถตรวจสอบประสิทธิภาพและความเหมาะสมในการใช้งบประมาณได้ เห็นว่าผิดหลักการในการทำงาน เพราะเงินไม่ว่าจะไปที่หน่วยงานไหนก็มาจากภาษีประชาชน ดังนั้น อยากให้ กมธ. ปรับการทำงาน ให้ส่วนราชการในพระองค์นำเสนอในกระบวนการปกติ เพื่อเงินที่มาจากภาษีประชาชนจะถูกใช้อย่างมีประสิทธิภาพ ทุกหน่วยงานได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกัน ในปีต่อๆ ไป” นายธนาธร กล่าว
อย่างไรก็ตามผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังการซักถามของนายธนาธร ทางสำนักงบประมาณได้ชี้แจงด้วยวาจาว่ามีการโอนงบจากกระทรวงกลาโหมไปส่วนราชการในพระองค์จริง และงบประมาณที่เป็นของส่วนราชการในพระองค์ เดิมลดลงในปี 2564 ประมาณ 80 ล้านบาท ทำให้นายธนาธร ขอเอกสารชี้แจงงบประมาณของส่วนราชการในพระองค์ ซึ่งสำนักงบประมาณบอกว่าที่ผ่านมาไม่มีทำ แต่จะจัดทำให้ต่อไป