จากกรณีที่มีคณะนักวิจัยในอังกฤษ เปิดเผยว่า ยังคงสามารถพบร่องรอยความเสียหายในปอด หลังจากผู้ป่วยติดโรคติดเชื้อโควิด-19 ไปแล้วกว่า 3 เดือน
โดยคณะนักวิจัยมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดให้ผู้ป่วยโรคโควิด-19 จำนวน 10 คน อายุระหว่าง 19-69 ปี สูดแก๊สซีนอนระหว่างการสแกนด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าหรือเอ็มอาร์ไอ (MRI) เพื่อให้เห็นภาพปอดเสียหาย ผู้ป่วย 8 คนยังคงมีปัญหาเรื่องหายใจลำบากและเหนื่อย หลังจากติดเชื้อไปแล้วสามเดือน
แม้ว่าไม่ต้องเข้ารับการรักษาในหอผู้ป่วยวิกฤตหรือต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ การสแกนด้วยวิธีปกติไม่พบว่าปอดของผู้ป่วยทั้งแปดคนนี้มีปัญหา แต่การให้สูดแก๊สซีนอนระหว่างเอ็มอาร์ไอเห็นสัญญาณความเสียหายของทั้งแปดคนได้จากพื้นที่ในภายปอดที่อากาศไม่สามารถไหลเข้าสู่กระแสเลือดได้อย่างสะดวก
ทั้งนี้ได้เตรียมทดลองกับผู้ป่วยมากถึง 100 คน เพื่อดูว่าได้ผลแบบเดียวกันกับผู้ป่วยโรคโควิด-19 ที่ไม่ได้เข้าโรงพยาบาลและอาการไม่หนักหรือไม่ เพราะต้องการศึกษาว่าเป็นความเสียหายชั่วคราวหรือถาวร และหากเกิดขึ้นกับผู้ป่วยทุกกลุ่มอายุ ไม่เฉพาะผู้สูงวัย ก็จะมีผลสำคัญต่อการรักษาผู้ป่วย เพราะอาจอธิบายได้ว่าเหตุใดผู้ป่วยจึงยังไม่แข็งแรงดังเดิมหลังจากติดเชื้อไปแล้วหลายเดือน
ล่าสุดในเฟซบุ๊ก Thira Woratanarat รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์อธิบายถึงประเด็นนี้ด้วยว่า “”โควิดเรื้อรัง”…เรื่องที่รู้แล้วจะไม่อยากติดเชื้อ…
เช้านี้มีน้องผู้ชายคนนึงถามในกลุ่มท่องเที่ยวยุโรปว่า มีใครมีอาการแบบเค้าบ้างไหม หลังจากเค้าติดเชื้อมาพอหายป่วยแล้วกลับยังมีอาการเจ็บหน้าอกอยู่ตลอด
มีคนมาตอบหลายต่อหลายคน โดยจำนวนไม่น้อยก็แจ้งว่ามีอาการคงค้างอยู่เช่นกัน
ผมตอบน้องเค้าไปว่า ผู้ติดเชื้อโควิดนั้นแม้รักษาหายแล้วก็จะยังมีอาการคงค้างอยู่ได้ เช่น อ่อนเพลีย ปวดข้อ หายใจลำบาก ฯลฯ โดยทางการแพทย์เราเรียกภาวะนี้ว่า “Chronic COVID” หรือ “Long COVID” หรือ “COVID Long Hauler”
เกริ่นมาให้พวกเราฟัง พร้อมกับถือโอกาสทบทวนความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ไปด้วยในตอนเช้าวันนี้
หากไปดูในฐานข้อมูลวิชาการแพทย์ PubMed จะพบว่ารายงานวิจัยเกี่ยวกับเรื่องนี้ยังมีจำนวนน้อยมาก อ่านดูเนื้อหาแล้วต่ำกว่าสิบเรื่อง
คำถามที่ 1:
ภาวะ Chronic COVID/Long COVID/COVID Long Hauler นี้พบบ่อยมากน้อยเพียงใด?
คำตอบ: ขณะนี้เชื่อว่า ราว 30-40% ของผู้ป่วยโควิดที่แม้จะได้รับการดูแลรักษาจนหายแล้ว จะมีอาการคงค้าง เป็นภาวะนี้ได้ ตั้งแต่หลายสัปดาห์ไปจนถึงหลายเดือน และยังไม่รู้ว่าจะยาวนานไปเพียงใด เนื่องจากโรคโควิดนี้เป็นโรคใหม่ไม่ถึงปี ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้ว่าจะนานเป็นปีๆ หรือนานกว่านั้นได้
คำถามที่ 2:
มีงานวิจัยที่ทำการประเมินโอกาสเป็นภาวะนี้มากน้อยเพียงใด?
คำตอบ: แรกเริ่มเดิมที ทีมแพทย์จากอิตาลีได้รายงานไว้ว่า มีผู้ป่วยโควิดที่ออกจากโรงพยาบาลไปแล้ว มีอาการคงค้างอยู่ถึง 87% ไม่ว่าจะเป็นอ่อนล้า หอบเหนื่อย เจ็บหน้าอก ปวดข้อ ฯลฯ
ต่อมา มีทีมจากสหราชอาณาจักร ที่ทำการสำรวจผ่านแอพพลิเคชั่นในมือถือ รายงานว่ามีผู้ป่วยโควิดที่มีอาการคงค้างต่างๆ อยู่ราว 10% ทั้งนี้เชื่อว่าการที่สำรวจพบน้อยกว่ารายงานก่อนหน้านี้ เนื่องจากเป็นการสำรวจในประชากรทั่วไป ที่ตรวจพบว่าติดเชื้อแต่ไม่ได้มาพบแพทย์ที่โรงพยาบาล
มีอีกหลายรายงานที่พบว่าโอกาสเกิดอาการคงค้างแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ เช่น อเมริกา ได้รายงานว่ามีเพียง 65% ของผู้ป่วยโควิดที่รักษาแล้วประเมินว่าฟื้นคืนไปสู่สภาวะปกติก่อนป่วยได้
ล่าสุดทีมวิจัยจากเดนมาร์กและหมู่เกาะฟาโรห์ ได้ทำการสำรวจในผู้ป่วยโควิดที่ไม่ได้นอนรักษาตัวในโรงพยาบาล จำนวน 180 คน พบว่ามีถึง 53.1% ที่มีอาการคงค้างหลังจากเริ่มมีอาการตอนแรกเกิน 4 เดือน โดยอาการคงค้างแตกต่างกันไป ตั้งแต่อ่อนล้า ปวดข้อ ดมไม่ได้กลิ่น ลิ้นรับรสไม่ได้
แม้ยังไม่สามารถทำการวิเคราะห์อภิมานเพื่อรวมผลการประเมินโอกาสการเกิดอาการคงค้างได้ แต่เชื่อว่ามีผู้ป่วยราว 30-40% ที่จะประสบปัญหาอาการคงค้าง
คำถามที่ 3:
อาการคงค้างมีอะไรบ้าง?
คำตอบ: ไอ, หายใจลำบาก, อ่อนล้า, เจ็บหน้าอก, อาการผิดปกติจากระบบหัวใจและหลอดเลือด เช่น ลิ่มเลือดอุดตัน กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ, อาการผิดปกติจากระบบประสาท เช่น ปวดหัว จำอะไรไม่ค่อยได้ ชัก ซึมเศร้า เป็นต้น
คำถามที่ 4: หากเป็นแล้วต้องทำอย่างไร?
คำตอบ: เนื่องจากโรคโควิดนี้เป็นโรคใหม่ และภาวะอาการคงค้างเหล่านี้ก็เป็นสิ่งใหม่ที่การแพทย์ทั่วโลกเพิ่งได้เจอ จึงยังมีความรู้ที่จำกัดมาก ส่วนใหญ่อาการคงค้างที่เกิดขึ้น ก็จะได้รับการดูแลรักษาตามลักษณะของแต่ละอาการไป
ขณะนี้หลายประเทศทั่วโลก ก็เริ่มมีแนวคิดที่จะจัดตั้งคลินิกหรือแผนกที่ดูแลรักษาผู้ป่วยที่มีอาการคงค้างหลังจากติดเชื้อโควิด เนื่องจากมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งนี้คาดว่าผู้ที่ได้รับผลกระทบในปัจจุบันน่าจะมีมากมายหลายล้านคน
ดังนั้น การไม่ติดเชื้อโควิดย่อมจะดีที่สุด
หากผมเป็นกระทรวงสาธารณสุข ผมคงจะให้ความรู้แก่ประชาชนในเรื่องนี้ เพื่อที่จะป้องกันตัวอย่างเต็มที่ ไม่ให้ติดเชื่อ
นอกจากนี้ผมคงจะย้ำเตือนเสมอว่า #โควิดไม่ใช่โรคประจำถิ่น #การติดเชื้อไม่ใช่เรื่องปกติ #ยึดติด0ไม่ได้แต่เลี่ยงการนำความเสี่ยงสู่ประเทศได้ #ไม่ใช่เน้นโกยเงินแลกเชื้อ
#โรคนี้ไม่กระจอก ด้วยรักต่อทุกคน”