อัษฎางค์ ยมนาค นักวิชาการประวัติศาสตร์ ชี้ชัด ในหลวงรัชกาลที่ 7 ไม่เคยประกาศขายพระแก้วมรกตให้ใคร มีแต่ ร.5 เคยยกพระแก้วมรกตถวายให้พระเจ้าซาร์ แห่งรัสเซีย
จากกรณีที่นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ แกนนำม็อบคณะราษฎร ได้โพสต์ข้อความถึงกรณีที่กล่าวอ้างว่า รัชกาลที่ 7 จะนำพระแก้วมรกต ซึ่งเป็นสมบัตชาติไปขาย โดยระบุข้อความว่า “ในสมัยรัชกาลที่ 7 เมื่อพระองค์สละราชสมบัติไปก็พยายามจะเอาพระแก้วมรกต (ซึ่งเป็นสมบัติชาติ) ไปขาย และถ้าเราไม่แก้ พรบ.จัดระเบียบทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ เหตุการณ์นี้ก็อาจจะเกิดขึ้นถ้ารัชกาลที่ 10 สละราชสมบัติ” จนทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์เป็นจำนวนมาก
ล่าสุดทางด้าน นายอัษฎางค์ ยมนาค นักวิชาการประวัติศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความถึงกรณีที่ ในหลวงรัชกาลที่ 7 ไม่เคยประกาศขายพระแก้วมรกต โดยระบุข้อความว่า
ร.7 ไม่เคยประกาศขายพระแก้วมรกตให้ใคร มีแต่ ร.5 เคยยกพระแก้วมรกตถวายให้พระเจ้าซาร์! ราชสำนักสยามกับราชสำนักรัสเซียที่คุณ…อาจไม่เคยรู้
………………………………………………………………….
หลายคนอาจไม่เคยรู้ว่า ในหลวงรัชกาลที่ ๕ และพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ ๒ เป็นพระสหายสนิท
ราชอาณาจักรสยามในสมัยรัชกาลที่ ๕ คือประเทศที่มีชื่อเสียงและเจริญรุ่งเรืองระดับแนวหน้าของชาติตะวันออก แต่ถ้าเอาไปเทียบกับจักรวรรดิรัสเซียที่เป็นอภิมหาอำนาจจากตะวันตกแล้ว สยามอาจเป็นเพียงแค่หินกัอนหนึ่งเท่านั้น
แล้วรัชกาลที่ ๕ ของสยาม กลายมาเป็นเพื่อนสนิทกับจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิรัสเซียอันยิ่งใหญ่ได้ยังไง?
ในปี พ.ศ. ๒๔๓๖ ขณะที่พระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ ๒ ครั้งยังดำรงพระอิสริยศแกรนด์ดุกซารวิตซ์ มกุฎราชกุมารแห่งรัสเซีย ได้เสด็จเยือนดินแดนตะวันออกและเสด็จแวะมาสยาม
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ได้ใช้โอกาสทองในคราวนั้น ต้อนรับอย่างสมพระเกียรติ ด้วยขบวนต้อนรับอย่างมโหฬารที่สุดเท่าที่เคยมีมา นับตั้งแต่วันที่เรือพระที่นั่งผ่านสันดอนปากน้ำเข้ามายังท่าเทียบเรือที่ประดับประดาอย่างงดงามด้วย จัดพระราชวังสราญรมย์ให้เป็นที่ประทับ ซึ่งมกุฎราชกุมารแห่งรัสเซียประทับพระราชหฤทัยมาก โดยเฉพาะม่านหน้าต่างโปร่งที่ร้อยด้วยดอกไม้และเปลี่ยนถวายทุกวัน
ตามมาด้วยการ “ปิกนิก” ที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยการจัดการต้อนรับด้วยจำนวนคนเป็นหลักพันคน และมีเรือเข้าร่วมขบวนเสด็จจำนวนนับร้อย เสด็จไปพระราชวังบางปะอิน โดยรัชกาลที่ ๕ ทรงพระราชทานการรับรองด้วยพระองค์เอง
รวมทั้งมีพิธีการคล้องช้างครั้งสุดท้ายของสยาม ที่สมบูรณ์แบบที่สุด ยิ่งใหญ่ที่สุด ซึ่งการคล้องช้างป่าถือเป็นประเพณีเก่าแก่ที่ไม่ได้จัดขึ้นอย่างง่ายๆ
และปิดท้ายด้วยพิธีพระราชทาน “สายสะพายจักรี” สีเหลืองสด ซึ่งเป็นเครื่องราชอิสริยาภรณ์มหาจักรีบรมราชวงศ์ชั้นสูงสุดของไทยที่สงวนไว้เฉพาะผู้มีกำเนิดเป็นเจ้านายชั้นสูงแด่แกรนด์ดุ๊กซาร์เร วิช
ซึ่งถือเป็นการประกาศเชิงสัญลักษณ์ถึงความยินยอมพร้อมใจ ที่จะรับอาคันตุกะจากอีกซีกโลกเป็นสมาชิกคนหนึ่งของราชวงศ์จักรี
การถวายการต้อนรับอย่างอบอุ่นของรัฐบาลไทยครั้งนั้นได้ผูกพระทัย ซาร์เรวิชกับสยามเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เวลาเพียงไม่กี่วันในสยามนั้นถือเป็นจุดเริ่มต้นแห่งมิตรภาพอันยืนยงและยิ่งใหญ่ จนถึงกับเกิดคำพูดกล่าวเปรียบเปรยกันติดปากต่อมาอีกนับร้อยปี สัพยอกใครต่อใครที่ทำอะไรใหญ่โตหรูหราว่า “อย่าวกับซาร์” หรือ “อย่างกับรับซาร์แห่งรัสเซีย”
………………………………………………………………….
**ตำนานในหลวงรัชกาลที่ 5 ยกพระแก้วมรกตถวายให้พระเจ้าซาร์
มีเรื่องเล่ากันในหมู่ผู้คนในสมัยก่อนว่า สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงรัชกาลที่ ๕ ได้มีพระราชดำริว่า สยามและรัสเซียนั้นแม้อยู่ห่างไกล แต่ทั้ง ๒ พระราชวงศ์ได้ดำเนินพระราชไมตรีด้วยดีเสมือนหนึ่งแผ่นดินเดียวกัน ในการที่มกุฎราชกุมารแห่งรัสเซียเสด็จฯ จากแดนไกลมาถึงเพียงนี้ มีพระหฤทัยประสงค์จำนงสิ่งใดในราชอาณาจักรนี้ก็จะทรงจัดหาให้ไม่ขัดข้อง
มกุฎราชกุมารแห่งรัสเซีย จึงอยากทดลองน้ำพระราชหฤทัยในสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง จึงได้กราบบังคมทูลขอ “พระแก้วมรกต” ไปประดิษฐานที่กรุงรัสเซีย !!!!!
เมื่อสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงได้ทรงสดับดังนั้นแล้ว ทรงนิ่งไปชั่วครู่ แล้วในหลวงรัชกาลที่ 5 ทรงมีพระราชดำรัสตอบตกลง ที่จะพระราชทานพระแก้วมรกตแก่รัสเซีย ซึ่งทำให้มกุฎราชกุมารแห่งรัสเซีย ทรงตกพระทัยไม่น้อย เพราะทรงทราบดีว่าพระแก้วมรตกเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ ของพระราชวงศ์ และอาณาประชาราษฎร์ทุกคน มกุฎราชกุมารแห่งรัสเซียจึงตระหนักดีว่าฝ่ายสยามมีน้ำใจไมตรีที่แท้จริง จึงทรงมีพระดำรัสตรัสขอบพระทัยอย่างสุดซึ้ง และขอให้ฝ่ายสยามได้ขอสิ่งใดๆ จาก รัสเซียเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนบ้าง
ในหลวงรัชกาลที่ ๕ ทรงมีพระราชดำรัสตอบกลับโดยทันที…
พระองค์ทรงขอ “พระแก้วมรกต”กลับคืนสู่ราชอาณาจักรไทย เพื่อเป็นที่ยึดเหนี่ยวของปวงชนทั้งราชอาณาจักรเช่นเดิม มงกุฎราชกุมารแห่งรัสเซีย ได้ทรงสดับดังนั้น ก็ทรงเลื่อมใสในพระปรีชาสามารถในสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงเป็นอย่างมาก และทรงถวายพระแก้วมรกตคืน
………………………………………………………………….
ตัดฉากมาเมื่อเวลาผ่านไปอีกหลายปี ราชอาณาจักรสยามต้องเผชิญวิกฤตการณ์จากการล่าอาณานิคมของชาติมหาอำนาจจากยุโรปอย่างหนัก จนประเทศเพื่อนบ้านไปโดยรอบโดนยึดไปจนหมดสิ้น
อังกฤษคลืบคลานมาทางตะวันตก ยึดพม่า สิงคโปร์ มาเลยเซีย ส่วนฝรั่งเศสมาทางตะวันออกอย่างโฉ่งฉ่าง ยึดญวน เขมร ลาว และทั้ง ๒ อภิมหาอำนาจต่างก็มีเป้าหมายที่จะเข้ายึดครองไทย ถึงขนาดจะใช้แม่น้ำเจ้าพระยาแบ่งเขตอิทธิพลกัน
………………………………………………………………….
กุศโลบายที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวใช้ต่อสู้กับชาติอภิมหาอำนาจคือ การมุ่งมั่นที่จะพัฒนาบ้านเมืองให้ทันสมัยตามแบบชาติยุโรปอย่างรวดเร็ว โดยการทรงจ้างฝรั่งเข้ามารับราชการ และส่งคนไทยไปศึกษาในยุโรปเป็นจำนวนมาก
นอกจากนี้พระองค์ ยังใช้การทูตเพื่อรับมือกับการเมืองระดับโลก โดยเตรียมพระองค์ในการที่จะเดินสายโชว์ตัวให้เป็นที่รู้จักในระดับนานาชาติ ว่าสยามไม่ใช่บ้านป่าเมืองเถื่อนที่ล้าสมัย และแล้วในวันที่ ๗ เมษายน ๒๔๔๐ การเสด็จพระราชดำเนินไปยุโรปก็เริ่มขึ้น
ด้วยเรือพระที่นั่งมหาจักรี เพื่อเยือน ๑๒ ประเทศในยุโรป ได้แก้ อิตาลี สวิตเซอร์แลนด์ ออสเตรีย-ฮังการี รัสเซีย สวีเดน เดนมาร์ค อังกฤษ เบลเยี่ยม เยอรมัน ฮอลแลนด์ ฝรั่งเศส และสเปน มีกำหนดเวลาประมาณ ๙ เดือน
ในครั้งนั้น ประเทศที่รัชกาลที่ ๕ ทรงมุ่งหวังจะไปเยือนมากที่สุด ไม่ใช่ใครอื่นนอกจาก รัสเซีย ซึ่งเมื่อครั้งที่พระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ ๒ มาเยือนสยามนั้นยังเป็นเพียงมงกุฎราชกุมาร แต่เมื่อรัชกาล ๕ เสด็จเยือนยุโรปนั้น ทรงเสด็จขึ้นครองราชย์เป็นพระเจ้าแผ่นดินมาของประเทศอภิมหาอำนาจได้ ๓ ปีแล้ว และรัสเซียคืออภิมหาอำนาจที่อังกฤษและฝรั่งเศสให้ความเกรงใจ
………………………………………………………………….
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ เสด็จฯโดยรถไฟจากกรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมันถึงกรุงเซ็นต์ปิเตอร์สเบิร์ก ของรัสเซีย เมื่อวันที่ ๓ กรกฎาคม เวลา ๒๑.๓๐ น. พระซาร์ฯ เสด็จมารับถึงสถานีรถไฟ ทั้งสองพระองค์ประทับรถพระที่นั่งไปสู่พระราชวังปีเตอร์ฮอฟซึ่งจัดเป็นที่ประทับ
ในการเสวยพระกระยาการค่ำร่วมกันในวันที่ ๔ กรกฎาคม สมเด็จพระปิพุทธเจ้าหลวงทรงถือโอกาสปรับทุกข์ถึงการรุกรานของมหาอำนาจจากยุโรป ในเช้าวันรุ่งขึ้น พระเจ้าซาร์จึงจัดให้มีการฉายพระรูปร่วมกันที่พระราชวังปีเตอร์ฮอฟ ซึ่งถือเป็น”ภาพประวัติศาสตร์” หลังจากนั้นได้ทรงรับสั่งให้ราชสำนักรัสเซียนำภาพที่คิงจุฬาลงกรณ์จากสยามประทับคู่กับพระเจ้าซาร์แห่งรัสเซีย ส่งไปยังหนังสือพิมพ์ทั้งในรัสเซียและทั่วทั้งยุโรปทุกฉบับ รวมทั้งยังทรงเขียนคำอธิบายภาพด้วยพระองค์เองว่า
“สยามเป็นประเทศที่กำลังพัฒนา หาใช่ประเทศล้าหลังซึ่งมหาประเทศจะอาศัยเป็นมูลเหตุเข้ายึดครองมิได้”
ซึ่งภาพประวัติศาสตร์นั้น เป็นเครื่องมือสำคัญทางการเมืองระดับนานานชาติ ที่ทำให้ชาติมหาอำนาจอื่นๆ รู้ว่า สยามมีรัสเซียเป็นมหามิตร ที่ใครจะคิดข่มเหงไม่ได้ ซึ่งส่งได้ผลทางการเมืองระดับโลกอย่างมาก
บ้านเมืองของเราเป็นเอกราชมาได้จนถึงทุกวันนี้ก็เพราะเรามีสถาบันพระมหากษัตริย์ที่แข็งแกร่ง และทรงงานหนักเพื่อชาติและประชาชนอย่างซื่อตรง
………………………………………………………………….
ภาพบนซ้าย: คือภาพในสมัยที่พระเจ้าซาร์ฯ เสด็จเยือนสยามครั้งแรก
ภาพขวบน: คือภาพประวัติศาสตร์ที่พระเจ้าซาร์ฯ จัดให้ถ่ายแล้วรับสั่งในนำเผยแพร่ไปทั่วยุโรป เพื่อประกาศให้โลกรู้ว่า รัสเซียและสยามเป็นมหามิตรต่อกัน
………………………………………………………………….
อัษฎางค์ ยมนาค
รวบรวม เรียบเรียง