ไตรรงค์ เปิด 4 เหตุผล ความสัมพันธ์แนบแน่น สถาบันฯ และกองทัพ เพื่อป้องกันอีแอบขายชาติ

4304

ความจริงที่คนมองข้าม!! ไตรรงค์ เปิด 4 เหตุผล ความสัมพันธ์แนบแน่น “สถาบันฯ” และ “กองทัพ” เพื่อป้องกัน “อีแอบขายชาติ”

จากกรณีที่ผ่านมา ได้มีพรรคการเมืองฝ่ายค้าน มีความพยายามอย่างสูงที่จะแยก สถาบันกษัตริย์ ออกจาก สถาบันกองทัพ เพื่อเป็นการลดทอนอำนาจ

ล่าสุดทางด้านของ ดร.ไตรรงค์ สุวรรณคีรี อดีตรองนายกรัฐมนตรี ในรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้โพสต์ข้อความซึ่งเป็นเหตุผลสำคัญที่เกี่ยวเนื่องและต้องมีความแนบแน่นระหว่าง สถาบันกษัตริย์กับสถาบันกองทัพ

มีพวกที่ไม่ต้องการให้มีสถาบันกษัตริย์มักจะถามคำถามว่า #ทำไมสถาบันกษัตริย์ไทยจึงต้องมีความสัมพันธ์ที่แนบแน่นกับสถาบันกองทัพไทย ผมขอแสดงความเห็นที่แบ่งออกได้เป็น 4 ข้อนะครับ (เปิดอ่านในรูปถัดๆไปได้ครับ)

แต่โดยสรุปแล้ว ผมเห็นว่า อนาคตของประเทศไทยจะปลอดภัยแก่ลูกหลานที่จะตามมาได้ เรายังต้องฝากไว้กับสถาบันพระมหากษัตริย์และสถาบันทหารของประเทศ (แต่ก็มิได้หมายความว่าต้องให้ทหารเป็นนายกรัฐมนตรีนะครับ อย่าตีความผิด)

ใครจะว่าผมเป็นไดโนเสาร์ก็ไม่เป็นไร และจะขอย้ำว่า ผมไม่เคยไว้ใจคนรุ่นใหม่ที่มีแต่ความบ้าเลือด ป่าเถื่อน หยาบคาย ไร้ความรอบคอบ มีแต่ความอาฆาตมาดร้าย อิจฉาริษยา ไร้ศีลธรรม ไม่มีหิริโอตัปปะ และไม่เคยสำนึกในความมีกตัญญูกตเวที… ไม่ว่าเขาจะเป็นนักการเมืองโดยเปิดเผยหรือแอบซุ่มอยู่ข้างหลัง ถ้าเป็นคนรุ่นใหม่ที่มีคุณสมบัติเลวอย่างนี้ เขาคงพร้อมจะยอมขายชาติของเราให้กับมหาอำนาจ (ที่มีแต่ความ #โลภและมานะทิฏฐิไม่สิ้นสุด) ก็เพื่อขอแลกกับการช่วยทำให้ตนมีอำนาจทางการเมือง พร้อมกับขอน้ำข้าวน้ำแกงในกะลาอย่าให้แห้งระหว่างที่ตนยังไม่มีอำนาจ เหล่านี้ก็เป็นการปฏิบัติตนเฉกเช่นนักการเมือง “กังฉิน” รุ่นพี่ๆ อย่างไรก็อย่างนั้น

ผมขอฝากคติไว้เตือนใจนะครับว่า เราต้อง #ไม่คบเด็กเลวเพื่อสร้างบ้านเราต้องไม่คบหัวล้านเลวเพื่อสร้างเมือง นะครับ สวัสดี

1.ขึ้นชื่อว่าเป็นมุขบุรุษ แล้ว

ไม่ว่าจะเป็นประธานาธิบดีหรือกษัตริย์ของประเทศต่างๆ จำนวนมากทั้งในอดีตและปัจจุบัน ส่วนมากจะมีความสัมพันธ์แนบแน่นกับสถาบันกองทัพ (ทั้งกองทัพบก กองทัพเรือ และกองทัพอากาศ) ในอดีตสมัยราชาธิปไตย พระมหากษัตริย์คือจอมทัพที่มีบทบาทสำคัญที่สุดในการรักษาประเทศให้อยู่รอดปลอดภัยมาเป็นเวลานานจนถึงเวลาที่ประชาชนได้มีโอกาสใช้ระบบประชาธิปไตยเพื่อมีส่วนร่วมในการปกครองและบริหารประเทศร่วมกับพระมหากษัตริย์ บางประเทศแม้จะล้มเลิกสถาบันกษัตริย์ไปแล้วด้วยเหตุผลเฉพาะตัวที่ต่างกัน ได้เปลี่ยนระบบการปกครองมาเป็นสาธารณรัฐที่มีประธานาธิบดีที่ได้รับเลือกตั้งจากประชาชนมาเป็นประมุขของรัฐ

แต่รัฐธรรมนูญใหม่ของพวกเขา (ทั้งที่เป็นและไม่เป็นลายลักษณ์อักษร) ก็ยังบัญญัติหรือยอมรับกันว่าให้ประธานาธิบดีนั้นเป็นจอมทัพหรือเป็นผู้มีอำนาจในการมีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบายต่างประเทศของประเทศด้วย ดังนั้นอำนาจในการประกาศสงครามจึงยังคงเป็นของพระมหากษัตริย์หรือประธานาธิบดีอยู่ในเกือบทุกประเทศทั่วโลก เพราะถือหลักยึดโยงว่าเดิมทีอำนาจเหล่านี้ล้วนเป็นอำนาจที่ชอบธรรมของประมุขแห่งแผ่นดิน (PREROGATIVE)

2.สำหรับประเทศบางประเทศที่อ้างว่าตนเป็นประชาธิปไตยมักจะมีนักการเมืองที่เป็นพวก “กังฉิน” อยู่จำนวนหนึ่งที่ทำให้ระบอบประชาธิปไตยกลายเป็น #ระบอบธนาธิปไตย นักการเมืองประเภทนี้มักจะเป็นคนมีเงินระดับเศรษฐี มหาเศรษฐี หรืออภิมหาเศรษฐี (ส่วนมากจากเงินที่ไม่ค่อยบริสุทธิ์) คนพวกนี้จะเอาเงินของตนมาตั้งพรรคการเมืองหรือซื้อพรรคการเมืองที่มีอยู่แล้ว เพื่อใช้เป็นฐานแสวงหาอำนาจทางการเมืองให้แก่ตนและครอบครัว เมื่อมีอำนาจทางการเมืองแล้ว พวกเขาก็จะใช้อำนาจทางการเมืองนั้นเพื่อกอบโกยโกงกินสารพัด ขอโทษ! เรียกกันว่า “แดกกันทั้งครอบครัวและตระกูล” บริหารประเทศเหมือนบริหารบริษัท การลงทุนตั้งพรรคการเมืองเหมือนการลงทุนทำธุรกิจต้องแสวงหากำไรให้ได้มากที่สุดจากเงินที่ลงทุนเอาไว้

นักการเมืองประเภทนี้จะใช้เงินทั้งซื้อเสียงจากประชาชน (ที่ส่วนใหญ่ยังอยู่ภายใต้ระบบอุปถัมภ์ในท้องถิ่น) และใช้เงินควบคุมนักการเมืองไส้แห้งทั้งหลายที่มาสวามิภักดิ์เป็นลูกน้อง นักการเมืองไส้แห้งพวกนี้มักจะมีความสัมพันธ์ในระบบอุปถัมภ์ที่ดีกับประชาชนในพื้นที่ แต่มักจะเป็นคนที่มีกิเลสมาก หนักไปในทางไร้ศีลธรรม จึงพร้อมจะปฏิบัติตนสนองความต้องการของเจ้าของพรรค เพื่อตอบแทนค่าน้ำข้าวน้ำแกงที่เขาเทใส่กะลาให้ได้กินกันในแต่ละเดือน

คนพวกนี้มักจะเป็นคนพูดเก่ง ปากอย่างใจอย่าง ปากนั้นจะพร่ำพูดตลอดเวลาว่า “รักชาติ รักประชาชน รักประชาธิปไตย” แต่มักจะไม่ค่อยพูดว่า “เกลียดการโกงกินที่ผิดทั้งกฎหมายและศีลธรรม” ของหัวหน้าพรรคของตนเอง เราสามารถจะศึกษาดูตัวอย่างที่เกิดขึ้นในประเทศต่างๆ มาแล้ว เช่น ประเทศฟิลิปปินส์ ประเทศอินโดนีเซีย ประเทศไทย และอีกหลายประเทศในแอฟริกาและลาตินอเมริกา

3.บ้านเมืองใดที่เต็มไปด้วยนักการเมือง “กังฉิน” ทั้งเจ้านายและลูกน้อง พวกเขาย่อมพร้อมจะ #ขายชาติให้กับมหาอำนาจ ที่กำลังแข่งขันกันครองโลกทั้งในอดีตและในปัจจุบัน พวกเขาจะไม่สนใจหรอกว่าประเทศที่ตกเป็นเมืองขึ้นโดยปริยายนั้นจะไม่มีอิสรภาพในการกำหนดนโยบายต่างๆ ด้วยตนเองทั้งนโยบายภายในประเทศและนโยบายต่างประเทศ ประชาชนของเขาจะต้องตกระกำลำบาก ถูกเอารัดเอาเปรียบจากมหาอำนาจผู้เป็นนายมากน้อยเช่นไร เขาสนใจแต่การที่เขาได้มีอำนาจ สามารถกอบโกยโกงกินแบ่งสรรกันระหว่างญาติโกโหติกาและพรรคพวกลิ่วล้อ เพื่อสะสมไว้เป็นฐานการรักษาอำนาจทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยจอมปลอมต่อไปให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้เท่านั้น

แม้ประเทศของเขาจะมีแต่ความแตกแยกย่อยยับ และไม่สามารถจะมีความเจริญในทางเศรษฐกิจได้อย่างมีเสถียรภาพ (ผู้ที่สนใจในเรื่องนี้สามารถจะค้นคว้าอ่านได้จากงานวิจัยของศาสตราจารย์ ดร. LANT PRITCHETT (และคณะ) แห่งมหาวิทยาลัย Harvard ที่ได้ทำการวิจัยความสัมพันธ์ระหว่างการเมืองกับผลทางเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ ทั่วโลก ปัจจุบันท่านไปเป็นศาสตราจารย์ประจำอยู่ที่มหาวิทยาลัย Oxford ประเทศอังกฤษ)

4.มีแต่สถาบันกษัตริย์และสถาบันกองทัพเท่านั้นที่ได้รับการอบรม ฝึกปรือ #มิให้เป็นคนกังฉิน พร้อมจะขายชาติเพื่อแลกกับประโยชน์ของตน พรรคพวก และเครือญาติ เพราะบรรพบุรุษแห่งสถาบันของพวกเขาได้ล้มตายมามากแล้วพร้อมๆ กับประชาชนผู้รักชาติในการสู้รบเพื่อปกป้องประเทศชาติจากการรุกรานของประเทศที่มีกำลังเหนือกว่า

แม้ชาติจะเพลี่ยงพล้ำในบางครั้ง กษัตริย์ กองทัพ และบรรพบุรุษผู้กล้าหาญของเราก็ยอมเสียเลือดเสียชีวิตกู้เอกราช ปกป้องแผ่นดินให้เราได้อยู่อาศัยทำมาหากินอย่างเป็นสุขมาตั้งแต่ทวดของทวด ปู่ย่าตายาย พ่อแม่ จนถึงพวกเรา และลูกหลานเหลนต่อๆ ไปในภายภาคหน้าได้อีกนานแสนนาน (ถ้าเราไม่รีบทำลายมันเสียก่อน) นี่คือประวัติศาสตร์ของประเทศไทยที่เคยชื่อ “ประเทศสยาม” ในอดีตกาล