“ดร.เสรี” ยก10 ข้อว่าด้วยทรัพย์สินฯ ซัด “พวกรู้ไม่จริง” อย่าสะเออะเล่าความเท็จ!!

15195

จากกรณีที่ รายการถามตรง ๆ กับจอมขวัญ ได้เชิญ รุ้ง ปนัสยา และ ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิทย์ พูดคุย ในหัวข้อ 2 มุมมอง ต่อ พ.ร.บ.จัดระเบียบทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ 2561

ตอนหนึ่ง รุ้ง ปนัสยาได้กล่าว่า “หนึ่งในข้อเสนอปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ คือ ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ สิ่งที่เรียกร้องคือการแบ่งทรัพย์สินอย่างชัดเจน ระหว่างทรัพย์สินส่วนพระองค์ เป็นทรัพย์สินส่วนตัวที่ใช้ในชีวิตปกติ กับทรัพย์สินส่วนที่ใช้ในสถาบันพระมหากษัตริย์ ที่ไม่ใช่ส่วนของพระมหากษัตริย์พระองค์เดียว เป็นส่วนที่ใช้ในการทำโครงการต่างๆ ของพระองค์ ไม่ใช่เรียกร้องว่าให้เงินตรงนี้มาแบ่งกัน ตนก็ไม่รู้มายังไง คือไม่ใช่แบบนั้น แต่เรากำลังเรียกร้องให้แบ่งส่วนอย่างชัดเจน เพื่อตรวจสอบได้ และมีความโปร่งใส”

ซึ่ง ดร.อานนท์ ก็ได้ชี้แจงและอธิบายถึงข้อเท็จจริง “ว่า หลักการเจ้าของทรัพย์สินนั้นของใคร ย่อมชอบธรรมที่จะกลับไปเป็นของเจ้าของเดิมนั้น และมีอำนาจจัดการ เป็นเช่นนี้มาตั้งแต่ปี 2475 ส่วนปี 2561 เป็นการทำให้อำนาจในการจัดการกลับไปสู่เจ้าของ และการถือครองกรรมสิทธิ์กลับไปสู่เจ้าของแค่นั้น ในปี 2560 แก้คำจาก

“ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์” เป็น “ทรัพย์สินพระมหากษัตริย์” ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว คงจะมองว่าใช้คำฟุ่มเฟือย ไม่ต้องไปเติมส่วนเติมฝ่าย ใช้คำไทยให้สั้นลง รัดกุม ส่วนที่สองคือ เดิมมีสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระองค์ เดิมอยู่ในวังสระปทุม และสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ พอมาถึงรัชกาลที่ 10 ผู้บริหารสำนักทรัพย์สินส่วนพระองค์ และสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ คือ ชุดเดียวกันทั้งหมด”

ล่าสุด ดร.เสรี วงษ์มณฑา ผู้ร่วมก่อตั้งสถาบันทิศทางไทย ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ถึงกรณีดังกล่าวว่า

“1.) หุ้นของพระองค์ท่านเป็นมรดกตกทอดมาจากบูรพกษัตริย์ ตั้งแต่รัชกาลที่ 5
2.) มูลค่าหุ้นที่สูงขึ้นเกิดจากความสำเร็จของการดำเนินธุรกิจ (ทุกธุรกิจที่ทรงมีหุ้น)
3.) การที่พระองค์ทรงถือหุ้นมากน้อยแค่ไหน ไม่เกี่ยวกับความเหลื่อมล้ำ หรือการที่ประเทศไทยยังมีคนยากจน ตรงนี้ไม่เห็นจะเกี่ยวกันอย่างไรเลย โยงไปได้อย่างไร
4.) พระองค์ท่านทรงมีหุ้นเยอะ เกรงจะทรงใช้อำนาจแทรกแซง ขอบอกนะว่าธุรกิจที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ต้องมี board มีกรรมการตรวจสอบ มีการประชุมผู้ถือหุ้น มีการรายการบัญชีต่อตลาดหลักทรัพย์ทุกไตรมาส ไม่มีใครทำอะไรผิดจากหลักธรรมาภิบาลได้(อย่าใช้มโนหาเรื่อง)
2.) มูลค่าหุ้นที่สูงขึ้นเกิดจากความสำเร็จของการดำเนินธุรกิจ (ทุกธุรกิจที่ทรงมีหุ้น)
3.) การที่พระองค์ทรงถือหุ้นมากน้อยแค่ไหน ไม่เกี่ยวกับความเหลื่อมล้ำ หรือการที่ประเทศไทยยังมีคนยากจน ตรงนี้ไม่เห็นจะเกี่ยวกันอย่างไรเลย โยงไปได้อย่างไร
4.) พระองค์ท่านทรงมีหุ้นเยอะ เกรงจะทรงใช้อำนาจแทรกแซง ขอบอกนะว่าธุรกิจที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ต้องมี board มีกรรมการตรวจสอบ มีการประชุมผู้ถือหุ้น มีการรายการบัญชีต่อตลาดหลักทรัพย์ทุกไตรมาส ไม่มีใครทำอะไรผิดจากหลักธรรมาภิบาลได้(อย่าใช้มโนหาเรื่อง)5.) อ้างว่าทรัพย์สินในพระนามจะตรวจสอบไม่ได้ เข้าใจผิดแล้ว รายได้ของพระองค์เสียภาษีตามกฎหมาย หุ้นในบริษัทมหาชนต้องรายงานผลประกอบการ มีบริษัทตรวจสอบด้านบัญชีรับรองรายงานการเงิน

6.) ทรัพย์สินส่วนพระองค์และทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ แยกกันอยู่แล้ว จะมาเรียกร้องขอให้แยกกันอะไรทำไมอีก เป็นการเรียกร้องแบบหาเรื่องกล่าวหา
7.) นอกเหนือจาก SCB แล้ว บูรพกษัตริย์ของพระราชวงศ์จักรี ทรงลงทุนในธุรกิจหลายอย่างเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทย และธุรกิจเหล่านั้นเจริญเติบโตมาตลอด ในเมื่อพระองค์ทรงถือหุ้นจากพระมรดก พระองค์มีพระราชทรัพย์มาก มันจะแปลกตรงไหน
8.) กล่าวหาพระองค์ท่านจะทรงเอาทรัพย์ของราษฎรตรงนั้นตรงนี้ ความเท็จทั้งนั้น ไม่รู้จริงทั้งนั้น พระองค์พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ให้ประชาชนมากมาย ไม่สำเหนียกรู้เลย
9.) ทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ที่ทรงให้เวนคืนเพื่อนำมาสร้างสิ่งที่เป็นสาธารณประโยชน์ เช่นโรงพยาบาล สวนสาธารณะ ก็นำเอาไปบิดเบือนหาว่าจะเวนคืนเอาไปเป็นทรัพย์ส่วนพระองค์
10.) ทุกธุรกิจที่พระองค์ทรงมีหุ้นอยู่ประกอบธุรกิจตามหลักธรรมาภิบาล มีจริยธรรม ปฏิบัติตามกฎหมาย ไม่มีการทำสิ่งที่ผิดทำนองคลองธรรมแต่อย่างใด และยังมีโครงการที่แสดงความรับผิดชอบต่อสังคม (CSR) ที่เป็นประโยชน์กับประเทศชาติและประชาชนมากมาย
ไม่รู้จริง อย่าสะเออะเล่าความเท็จ
ถ้ารู้จริงก็อย่าหน้าด้านบิดเบือน
อย่าหาเรื่องกล่าวหาพระองค์ท่านด้วยเจตนาล้มล้างทำลาย
เด็ก ๆ ทั้งหลายเปิดตา เปิดใจ ฟังคนอื่นนอกเหนือจากแกนนำบนเวที หรือพวกที่ออกรายการทีวีกับพิธีกรใจลำเอียงด้วยอคติบ้างเถอะ จะได้รู้ข้อมูลที่ถูกต้อง
#เบิกเนตรด้วยใจที่เป็นธรรม”