รอลุ้นสนพ.หารือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานคนใหม่ นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ เรื่องมาตรการดูแลค่าครองชีพประชาชน ต่ออายุการลดราคา LPG :45 บาทต่อถัง 15 กก.ถึงสิ้นปี จากที่จะสิ้นสุดก.ย.นี้ มั่นใจฐานะกองทุนฯยังบริหารได้ตามกรอบที่กำหนด พร้อมชง NGV รถสาธารณะให้ปตท.อุ้มต่อหรือไม่ จับตาสำรองไฟพุ่ง 40% จ่อทบทวนพีดีพีใหม่
นายวัฒนพงษ์ คุโรวาท ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) เปิดเผยว่า มาตรการลดค่าครองชีพด้านพลังงาน ทั้งการตรึงราคาก๊าซหุงต้ม(แอลพีจี) และเอ็นจีวี ที่ได้ดำเนินการมาแล้วจะสิ้นสุดในเดือนก.ย.นี้ ดังนั้นเพื่อให้มีความต่อเนื่องและดูแลประชาชน จะเสนอให้นายสุพัฒน์พงษ์ พันธ์มีเชาว์ รมว.พลังงานคนใหม่ ได้พิจารณา ปัจจุบันกระทรวงพลังานตรึงราคาขายปลีกแอลพีจี ไว้ที่ระดับ 318 บาทต่อถัง 15 กิโลกรัม(ก.ก.)เป็นระยะเวลา 3 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย. ซึ่งเป็นการลดราคาถังละ 45 บาท บนพื้นฐานของราคาแอลพีจีตลาดโลกอยู่ที่ 200 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน แต่ขณะนี้ราคาตลาดโลกอยู่ที่ 350 ดอลลาร์สหรัฐและมีโอกาสขยับขึ้นในช่วงปลายปีถึง 400-500 ดอลลาร์สหรัฐ
ดังนั้นหากต้องตรึงราคาแอลพีจีไปจนถึงสิ้นปี คาดว่าจะใช้เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในการพยุงราคา อีก ประมาณ 300-400 ล้านบาท หรือรวม 3 เดือน 1,200 ล้านบาท ซึ่งยังเป็นจำนวนเงินที่สามารถดูแลได้ เนื่องจากมีวงเงินที่เตรียมไว้ในการดูแล 1 หมื่นล้านบาท โดยที่ผ่านมาได้ใช้เงินในการตรึงราคาแอลพีจีไปแล้ว 6,500 ล้านบาท
นอกจากนี้จะพิจารณามาตรการดูแลปรับลดราคาเอ็นจีวี ซึ่งขณะนี้ในส่วนของกลุ่มรถทั่วไป ตรึงราคาไว้ที่ 15.31 บาทต่อก.ก. สิ้นสุดวันที่ 15 ส.ค.นี้ ขณะที่ราคาต้นทุนที่รับแจ้งขณะนี้อยู่ที่ 15.70 บาทต่อก.ก. ส่วนรถโดยสารสาธารณะ กลุ่มรถแท็กซี่ ตุ๊กตุ๊ก รถตู้ ร่วม ขสมก. และในต่างจังหวัด ครอบคลุม รถโดยสารมินิบัส สองแถว ร่วม ขสมก. รถโดยสาร รถตู้ร่วม บขส. และรถแท็กซี่ ทางบริษัทปตท.ตรึงราคาไว้ที่ 13.62 บาทต่อก.ก.
นายวัฒนพงษ์กล่าวว่า สำหรับร่างแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ.2561 – 2580 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1 (PDP 2018 Rev.1) ร่างแผนพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือกพ.ศ. 2561 – 2580 (AEDP 2018) ร่างแผนอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2561 -2580 (EEP 2018) และร่างแผนบริหารจัดการก๊าซธรรมชาติ พ.ศ. 2561 -2580 (Gas Plan 2018) ที่อยู่ระหว่างนำเสนอคณะรัฐมนตรี(ครม.)เห็นชอบคงต้องอยู่ที่ระดับนโยบายว่าจะดึงกลับทบทวนก่อนหรือให้ครม.เห็นชอบแล้วมาปรับปรุงใหม่ให้สอดรับกับสถานการณ์
แนวโน้มการใช้พลังงานปี 2563 ซึ่งพยากรณ์โดยอ้างอิงสมมติฐานด้านเศรษฐกิจปีนี้กรณีอัตราการขยายตัวเศรษฐกิจปรับตัวลดลงรุนแรง 9-10% จะส่งผลให้การใช้พลังงานของประเทศลดลง 7.9% โดยการใช้น้ำมันเบนซินลดลง 6.3% ดีเซลลดลง 4% น้ำมันเครื่องบินลดลง 43.5% แอลพีจีลด 10.9% น้ำมันเตาลด 10% และการใช้ไฟฟ้าลดลง 3%