สหรัฐอ่วม?!? สั่งปิดโรงเรียนรัฐบาลหนี โควิด-19 ระบาดหนักทำเด็กนักเรียนและครูติดเชื้อนับล้านราย

1442

 

สหรัฐอเมริกาไม่เป็นเอกภาพ ในการแก้ปัญหาการระบาดโควิด-19 จนถึงปัจุบันนี้ มีโรงเรียนหลายแห่งต้องปิดเรียนอีกรอบหลังนักเรียนและครูติดเชื้อนับล้านคนทั่วประเทศ แต่บางแห่งยังลังเลและดำเนินการต่างกัน ทั้งนักการเมือง, ผู้ว่าการรัฐของสองพรรคใหญ่ก็คิดต่างกัน  หน่วยงานรัฐบาลกลาง หน่วยงานสาธารณสุขก็มีมุมมองต่างจาก สหภาพครูและผู้ปกครอง ทุกอย่างจึงดำเนินไปภายใต้วินิจฉัยของแต่ละรัฐ ส่งผลที่ว่า ทุกวันนี้สหรัฐยังคงเป็นอันดับหนึ่งของโลก ทั้งจำนวนผู้ป่วยติดเชื้อและผู้เสียชีวิต

ล่าสุด(21 พ.ย.2563) สหรัฐมีผู้ป่วยติดเชื้อ 12,274,726 ราย เสียชีวิต 260,283 ราย

รายงานล่าสุดของสถาบันกุมารเวชศาสตร์แห่งอเมริกา (AAP) และสมาคมโรงพยาบาลเด็ก (CHA) (30 ต.ค.2563) ระบุว่าจำนวนเด็กในสหรัฐฯ ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าป่วยเป็นโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) อยู่ที่เกือบ 800,000 รายแล้ว เมื่อนับตั้งแต่เริ่มมีการระบาดใหญ่

สำนักข่าวยูเอสเอทูเดย์ รายงานการติดเชื้อต่อเนื่องในโรงเรียน หลังจากมีการเปิดเรียนเนื่องจาก ยอดผู้ติดเชื้ออยู่ในระดับนิ่งและบางที่ลดลง กลายเป็นทำให้ยอดติดเชื้อกลับเพิ่มขึ้นอีกหลังเปิดเรียนได้ไม่กี่สัปดาห์ ทำให้ต้องกลับไปเรียนทางไกล ออนไลน์เหมือนก่อนหน้านี้อีกครั้ง

ตั้งแต่วันจันทร์นี้ (23 พ.ย.2563) โรงเรียนต่างๆในสหรัฐจะต้องกลับไปเรียนผ่านอินเตอร์เน็ต ทางคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์มือถือ นอกจากนี้ การที่ต้องปิดเรียนให้นักเรียนเรียนทางออนไลน์ก็เพราะตัวครูผู้สอน และเจ้าหน้าที่ในโรงเรียนต่างพากันป่วยและหรือไม่ก็อยู่ในระยะกักตัว ติดตามการติดเชื้อจำนวนมาก ทำให้ไม่มีครูสอน ไม่มีเจ้าหน้าที่ดำเนินงานต่างๆ

รัฐเคนตักกีและมิชิแกน สั่งปิดโรงเรียนไฮสคูลทั้งหมด รวมทั้งที่นิวยอร์กที่ประกาศสั่งปิดโรงเรียนรัฐบาลทุกแห่งอย่างไม่มีกำหนด เพราะทั้งสามเมืองเป็นศูนย์กลางแพร่ระบาดหนักของโควิด319 ระลอกใหม่

เด็กๆกว่า 40% ต้องเรียนทางออนไลน์ที่บ้านจากสถานการณ์การระบาดและขาดแคลนครู

การสั่งปิดโรงเรียนยังมีความคิดเห็นขัดแย้งกันอยู่ในระดับประเทศ เช่นจากทำเนียบขาว จากศูนย์ควบคุมรักษาโรค (CDC) รวมทั้งความเห็นของผู้ปกครองที่ยังไม่ค่อยแน่ใจว่า การให้ลูกกลับมาเรียนที่บ้านจะปลอดภัย ปลอดการติดเชื้อโรคจริงหรือไม่ หรือกลับจะยิ่งติดเชื้อหนักกว่าเดิม

โรงเรียนรัฐบาลในนครนิวยอร์กต้องปิดเรียน กลับไปเรียนออนไลน์ หลังบิล เดอ บลาซิโอ นายกเทศมนตรีนครนิวยอร์ก ออกประกาศเมื่อวันพุธ (18 พ.ย.) ว่าโรงเรียนรัฐทุกแห่งในเมืองจะปิดทำการตั้งแต่วันพฤหัสบดี (19 พ.ย.) เป็นต้นไป สืบเนื่องจากอัตราการป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 เฉลี่ย 7 วันของเมืองสูงเกินร้อยละ 3

การปิดโรงเรียนรัฐเป็นมาตรการล่าสุดที่ทางการนิวยอร์กใช้เพื่อควบคุมการระบาดรอบใหม่ของไวรัสโดยคาดว่าจะกระทบกับเด็กราว 3 แสนคน หลังจากก่อนหน้านี้ รัฐออกข้อจำกัดให้บาร์และร้านอาหารต่างๆ ต้องให้บริการแบบสั่งอาหารกลับบ้านเท่านั้น หลังจากเวลา 22.00 น. ขณะที่การรวมกลุ่มในที่พักส่วนตัวจะถูกจำกัดไม่ให้เกิน 10 คน นิวยอร์กกลายเป็นศูนย์กลางการระบาดของสหรัฐฯมาก่อนแล้ว  แต่ด้วยมาตรการต่างๆทำให้ควบคุมการแพร่กระจายของเชื้อได้สำเร็จ และกลับมาเปิดโรงเรียนอีกครั้งเมื่อราว 8 สัปดาห์ก่อน สุดท้ายก็ต้องสั่งปิดอีกรอบเพราะโควิดรอบใหม่หนักกว่าเดิม

นักการเมืองสองพรรคคิดต่างกัน

ผู้ว่าการรัฐเคนตักกี, มิชชิแกนและ นิวยอร์ก ที่สั่งปิดโรงเรียนต่างเป็นตัวแทนจากพรรคเดโมแครต ขณะที่ผู้บริหารของทรัมป์ ไมค์ เพนซ์รองประธานาธิบดี และนายแพทย์เฟาซี ยังไม่ค่อยเห็นด้วยว่าสมควรปิดเรียนทุกระดับทั่วประเทศ บางรัฐยังอนุญาตให้สถานที่ออกกำลังกายและบาร์เหล้าเปิดได้โดยมีเงื่อนไข

และผลการศึกษาเรื่องการติดเชื้อในชุมชนสูง ในรายงานของยูนิเซฟ (UNICEF) ระบุว่า ห้องเรียนไม่ใช่สถานที่หลักที่เด็กๆติดเชื้อจนป่วย และเป็นการติดเชื้อจากนอกห้องเรียน

เหตุผลหลักอะไรทำให้ต้องปิดโรงเรียน

CDC และ WHO ให้คำแนะนำว่าโรงเรียนสามารถเปิดการสอนได้ถ้าระดับการติดเชื้อโควิด-19 ต่ำกว่า 5% และนายแพทย์เฟาซีเองยังแนะนำว่า อย่าพาคนมารวมกัน ถ้าการติดเชื้อสูงถึง 10% ในความเป็นจริงแต่ละรัฐตัดสินใจอย่างเป็นอิสระว่า รัฐไหนจะปิดเรียนกี่ระดับ เริ่มและสิ้นสุดเมื่อไหร่ตามความเหมาะสมของแต่ละพื้นที่

ที่ไอโอวาและอริโซนา ซึ่งผู้ว่าการรัฐสังกัดพรรครีพับลิกัน ตั้งมาตรฐานในการตัดสินใจปิดโรงเรียนต่างๆกันไป  ที่ไอโอวา ถ้าติดเชื่้อโดยรวม 15-20% จึงให้เรียนออนไลน์และก่อนกลับไปบ้านให้กักตัว 14 วัน ที่อริโซนาแตกต่างกันไป 

โนเอล เอลเลอร์สัน ผู้ช่วยผู้อำนวยการสมาคาครูผู้ปกครองกล่าวว่า “การติดเชื้อในโรงเรียนน้อยกว่าการติดเชื้อในชุมชน”

เบคกี พริงเกิ้ล ประธานสหภาพด้านการศึกษาแห่งชาติกล่าวว่า “โรงเรียนของเราเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน ถ้าในชุมชนไม่มีการติดเชื้อมากนัก แต่มันจะมาแพร่อย่างหนักในห้องเรียนของเรานี่แหละ”

ปัญหาครูและเจ้าหน้าที่ขาดแคลน

มลรัฐอินเดียนา โรงเรียนเฮมิสตัน เซาเทอร์น ชานเมืองอินเดียนาโปลิส มีนักเรียนเกือบ 22,000 คนต้องกลับไปเรียนออนไลน์ ในช่วงเวลาก่อนปิดเทอม และวางแผนให้ครูและเจ้าหน้าที่ไปดูแลเด็กนักเรียนชั้นต้นๆ แต่เมื่อว้นอังคารที่ผ่านมา (17 พ.ย.2563) ต้องการเจ้าหน้าที่ 90 คนแทนคนเก่าและ 20 คนป่วย ทำให้โรงเรียนแฮมิลตันตัดสินใจให้นักเรียนชั้นต้นเรียนออนไลน์ไปจนถึงวันที่ 4 ธ.ค.2563

สาธารณสุขอินเดียนาโปลิส สั่งให้เด็กนักเรียนในเคาน์ตีมารีอองทั้งของภาครัฐและเอกชน เรียนทางออนไลน์ทั้งหมด ซึ่งหมายถึงเด็ก 200,000 คนต้องอยู่บ้านเรียนออนไลน์

ที่ออริกอน ผู้ว่าการรัฐ เคธ บราวน์ สังกัดพรรคเดโมแครต ออกคำสั่งวันที่ 30 ต.ค.2563 หลังพบผู้ติดเชื้อสูง 600 รายภายในวันเดียว ซึ่งรายงานในตอนนั้นเธอให้เปิดเรียนทำให้เด็กนักเรียนกว่า 130,000 คนกลับเข้าห้องเรียน “ด้วยคำแนะนำการป้องกัน-สวมหน้ากากอนามัย, ล้างมือ, รักษาระยะห่าง สิ่งเหล่านี้จะทำให้โรงเรียนต่างๆไม่เป็นแหล่งแพร่เชื้อ (ซูเปอร์สปรีดเดอร์)” บราวน์กล่าวในตอนแถลงข่าววันที่ 29 ต.ค.2563

ปัจจุบัน ออริกอนมีผู้ป่วยติดเชื้อสูงวันละ 1,200 ราย และบราวน์สั่งปิดบริษัท ร้านค้า บาร์ ร้านอาหารให้สั่งกลับบ้านเท่านั้น และปิดสถานที่ออกกำลังกายด้วย  ขณะที่โรงเรียนยังเปิดเรียน