สืบเนื่องจากกรณีที่นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ได้โพสต์เฟซบุ๊กเหน็บแนม กล่าวร้ายรัฐบาล โดยระบุว่า
” เผด็จการต้องการสร้างสถานการณ์ เพี่อหาเหตุผลแทรกแซงกระบวนการประชาธิปไตย
ความขัดแย้งแบ่งฝ่าย สลายความรู้รักสามัคคี ของ คนในชาติ อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์ของชาติไทย ต่างฝ่ายต่างมุ่งหวังเอาชนะ ด้วยวิธีการหลากหลายรูปแบบ และมีแนวโน้มนับวันจะทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น”
คำกล่าวข้างต้นไม่ใช่คำกล่าวยุคปัจจุบัน แต่เป็นข้อความในแถลงการณ์อธิบายถึงเหตุผลการยึดอำนาจของ พล.อ. สนธิ บุญยรัตกลิน หัวหน้าคณะรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 หรือ 14 ปีที่แล้ว
การชุมนุมเพื่อรณรงค์ให้สมาชิกรัฐสภารับร่างกฏหมายใดกฎหมายหนึ่งเป็นเรื่องปกติสามัญในระบอบประชาธิปไตย
กลุ่มราษฎรผู้ชุมนุมเพียงแค่ต้องการแสดงออกถึงเสียงของพวกเขา เผด็จการกุมเสียงข้างมากในรัฐสภาอย่างเบ็ดเสร็จ ทั้งสภาและประชาชนทั่วไปรู้อยู่แต่แรกแล้วว่าร่างของ iLaw อย่างไรก็ไม่ผ่านการลงคะแนน แต่พวกเขาต้องการยืนยันในข้อเรียกร้องของตนเองเพียงเท่านั้น
ไม่มีเหตุผลใดเลยที่ต้องใช้ความรุนแรงต่อผู้ชุมนุม
ไม่มีเหตุผลใดเลยที่ปล่อยให้ผู้ชุมนุมปะทะกัน
ทั้งๆ ที่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจและฝ่ายความมั่นคงมากมายประจำการอยู่บริเวณนั้น
เหตุผลเดียวที่ผมพอจะนึกออกก็คือ เผด็จการต้องการยั่วยุให้เกิดความรุนแรง สร้างสถานการณ์ให้เห็นว่าประเทศไม่สามารถเดินหน้าต่อด้วยวิถีทางปกติได้
จุดจบปลายทางคือสร้างสถานการณ์ เพื่อ “ผลิต” เหตุผลรองรับการแทรกแซงการเมืองด้วยวิธีการที่ไม่ปกติ และไม่เป็นประชาธิปไตย
การปะทะกันระหว่างกลุ่มราษฎรและมวลชนเสื้อเหลืองเมื่อวานถือว่าเป็นการปะทะกันอย่างจริงจังเป็นครั้งแรก
เป็นการยกระดับความขัดแย้งซึ่งเป็นเรื่องปกติในระบอบประชาธิปไตย ไปสู่การเผชิญหญ้าและความรุนแรง เช่น ทำร้ายผู้ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องหรือฝั่งตรงกันข้าม ขัดขวางการใช้สิทธิเสรีภาพของผู้อื่น
เป็นการสร้าง “วิกฤต” ทำให้ผู้คนเห็นว่ากระบวนการตามรัฐธรรมนูญหรือประชาธิปไตยไม่มีประสิทธิภาพ เพื่อเปิดช่องหรือเรียกร้องการแทรกแซงทางการเมืองของอำนาจที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง ทหาร และตุลาการ
พวกเขากำลังใช้ลูกไม้เดิมๆ เพื่อผลักดันสังคมไปสู่จุดนั้นอีก
ผมให้กำลังใจทุกคน และขอคารวะหัวใจที่กล้าหาญเด็ดเดี่ยวทุกดวงที่เรียกร้องสิทธิเสรีภาพเพื่อพวกเราและลูกหลานเราที่หน้ารัฐสภาเมื่อวาน และที่ราชประสงค์ ณ เวลานี้
การเคลื่อนไหวของเยาวชนหนุ่มสาวเหล่านี้แตกต่างจากก่อนหน้านี้ ทั้งในแง่เป้าหมายที่สอดคล้องกับระบอบประชาธิปไตย และวิธีการที่อยู่บนฐานของปฏิบัติการไร้ความรุนแรงอย่างเคร่งครัด การชุมนุมอย่างสงบและสันติในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาได้พิสูจน์ถึงความมีวินัยของพวกเขา
อย่ายอมให้ฝ่ายอนุรักษ์นิยมเอาตัวรอดจากข้อเรียกร้องของประชาชนด้วยการสร้างสถานการณ์เพื่อการทำรัฐประหาร
และหากพวกเขาทำรัฐประหารอีกครั้ง ครั้งนี้เราต้องต่อสู้ร่วมกัน มันต้องจบไม่เหมือนเดิม
#ม็อบ17พฤศจิกา #ม็อบ18พฤศจิกา #แก้รัฐธรรมนูญ #เผด็จการ #รัฐประหาร #คณะราษฎร”
เผด็จการต้องการสร้างสถานการณ์ เพี่อหาเหตุผลแทรกแซงกระบวนการประชาธิปไตย”
ล่าสุด นายธนกร วังบุญคงชนะ เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายก กล่าวถึงกรณีที่นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า โพสต์เฟสบุ๊กระบุว่า รัฐบาลเผด็จการปล่อยม็อบชนม็อบเปิดทางรัฐประหารว่า
“นายธนาธรวันๆ สร้างแต่วาทกรรมโจมตีรัฐบาล ไม่เคยคิดดีทำดีให้กับประเทศเลย รัฐบาลนี้ไม่ได้เป็นเผด็จการ ไม่ต้องการให้เกิดม็อบชนม็อบ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ห่วงใจกลุ่มผู้ชุมนุมไม่ว่าจะกลุ่มไหนก็ตาม ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ดูแลความปลอดภัยให้กับทุกฝ่าย และไม่ต้องการให้เกิดม็อบชนม็อบ เพราะเราเป็นคนไทยด้วยกัน แต่การชุมนุมของคณะราษฎรควรจะชุมนุมด้วยความสงบ สันติ อย่าพยายามสร้างสถานการณ์ให้เกิดความรุนแรงด้วย
นายธนกร กล่าวอีกว่า ม็อบมีการยั่วยุ ใช้วาจาที่หยาบคายมากๆ มีการทำลายข้าวของราชการ มีการทำผิดกฎหมาย ที่สำคัญ ข้อเรียกร้องของคณะราษฎรในการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์นั้นเป็นสิ่งที่คนไทยรับไม่ได้ ซึ่งจะนำไปสู่ความขัดแย้งที่รุนแรง ทั้งนี้ นายธนาธรกล่าวหาว่ารัฐบาลใช้ความรุนแรง ทั้งๆ ที่รัฐบาลพยายามประคับประคองไม่ให้สถานการณ์รุนแรง เจ้าหน้าที่ก็อลุ่มอล่วยกับผู้ชุมนุม อดทนอดกลั้น หรือต้องให้เจ้าหน้าที่บาดเจ็บสักกี่คนนายธนาธรถึงจะพอใจ
ทางที่ดีนายธนาธรควรที่จะเข้าไปทำความเข้าใจกับแกนนำม็อบให้หยุดจาบจ้วงสถาบัน และให้เคลื่อนไหวอย่างสงบ ไม่ใช่ยุส่งให้บานปลาย ที่สำคัญ หยุดผลิตวาทกรรมสู้เป็นไทย ถอยเป็นทาสได้แล้ว เพราะเราเป็นคนไทย ทาสก็เลิกทาสกันมาตั้งแต่รัชกาลที่ 5 ไม่มีใครเป็นทาส นอกจากคนบางคนที่ยังเป็นทาสรับใช้นายทุนที่ต้องการทำลายชาติ ทำลายประเทศ ขณะที่การแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น ตนขอขอบคุณส.ส.และส.ว.ที่ให้ความเห็นชอบ เพราะฉะนั้นข้อเรียกร้องของม็อบได้รับการสนองตอบแล้ว ควรทบทวนการเคลื่อนไหวด้วย อย่านำประเทศไปสู่ความแตกแยกเลย ประเทศเสียหายมามากแล้ว ถอยกันบ้างก็ดี”