บทเรียนคนไทย!! สหรัฐฝืนความจริง?!! อเมริกันชนดื้อจัด ?!!? ยังเดินทางทำกิจกรรม ไม่สนโควิด-19 ทำติดเชื้อพุ่ง ผู้เชี่ยวชาญชี้อาจเสียชีวิตถึง 300,000 คนภายในสิ้นปี

1793

ขณะที่สหรัฐอเมริกายังยืนหนึ่งติดเชื้อมากที่สุดในโลกทะลุ กว่า 5 ล้านรายไปแล้ว (5,149,723) แต่รัฐบาลปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ และคนอเมริกันส่วนใหญ่กลับทำเหมือนไม่มีอะไรสำคัญ ยังจัดงานรวมตัวกันกลุ่มใหญ่มีการชุมนุมคนมากมาย นักการเมืองจัดกิจกรรมทำคนรวมตัวหมู่มาก อีกทั้งรัฐบาลกลางและรัฐบาลท้องถิ่นไม่มีมาตรการป้องกันอย่างเป็นเอกภาพ ปัจจุบันเสียชีวิตแล้ว กว่า 165,070 ราย หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ภายในเดือนธันวาคมคนอเมริกันมีแนวโน้มเสียชีวิตถึง 300,000 คนแน่นอน

ศาสตราจารย์ดร.ปีเตอร์ โฮเทซ ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์เขตร้อน แห่งวิทยาลัยเบย์เลอร์ด้านเวชภัณฑ์กล่าวว่า “คนอเมริกันต้องจริงจังกับการระบาดโรค และรัฐบาลควรมีแผนงานเชิงรุก ก่อนสิ้นปีนี้มิเช่นนั้นจะสาหัสไปกว่าที่เป็นอยู่ ทั้งๆที่ทุกส่วนในประเทศมีงานต้องทำอย่างหนัก เพื่อรับมือกับการระบาด

เมื่อวันเสาร์ (8 ส.ค.) สาธารณสุขแห่งแคลิฟอร์เนีย รายงานยอดติดเชื้อใหม่ 7,371 ราย ที่ฟลอริดา8,400 ราย สำหรับเท็กซัสในรอบ 7 วันยอดผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น 19.41% เป็นยอดสูงสุดนับตั้งแต่มีการระบาดใหญ่

“ประเด็นคือ เราต้องมีผู้นำจากทำเนียบขาว ที่จะบอกเราว่าเราควรต้องทำอย่างไรถึงจะถูกต้อง”

สหรัฐฯมียอดผู้เสียชีวิตมากกว่า 162,000 รายแล้วนับตั้งแต่เกิดการระบาดใหญ่ขึ้นปลายปี 2019 และคาดว่าจะสูงขึ้นต่อเนื่องจนถึงสิ้นปีนี้ องกรณ์สาธารณสุข IHME: the Institute of Health and Metric Evaluation จากมหาวิทยาลัยวอชิงตันคาดตัวเลขผู้เสียชีวิตอาจสูงถึง 300,000 ภายในธันวาคมศกนี้

ดร.คริสโตเฟอร์ เมอร์เรย์ กล่าวว่า คนอเมริกันเดินทางไปทั่วประเทศจำนวนมาก ซึ่งทำให้การแพร่ระบาดขยายตัวต่อเนื่อง โดยที่เจ้าตัวไม่รู้เลยว่าตนมีโอกาสเป็นสปรีดเดอร์มากแค่ไหน ยิ่งถ้าติดตามจากข้อมูลการเดินทางผ่านมือถือ (GPS) จะยิ่งพบตัวเลขการเคลื่อนที่ของผู้คนแม้ในช่วงระบาดโควิด-19 ก็ไม่ได้น้อยลงเลยถ้าเทียบกับประเทศอื่น

เมอร์เรย์เปิดเผยสถิติการใช้หน้ากาก ที่แคลิฟอร์เนีย, เท็กซัส และฟลอริดามีตัวเลขเพิ่มขึ้น 5% ในช่วงเวลา 10 วัน ซึงถือเป็นข่าวดีเบื้องต้น ถ้าเทียบกับแบบจำลองของ IHME ที่ว่าอาจมีผู้เสียชีวิต 295,000 ราย หมายความว่า การใส่หน้ากากจะช่วยชีวิตคนอเมริกันได้ถึง 66,000 คน ณ สิันปี

ดร.ริชชาร์ด เซดแมน, ผู้อำนวยการด้านเวชศาสตร์จาก L.A. Care Health Plan กล่าวว่า “ชุมชนที่มีรายงานยอดติดเชื้อสูงและเสียชีวิตมักเป็นชุมชนคนยากจนในสหรัฐ งบประมาณการช่วยเหลือเยียวยาของรัฐบาล เมื่อเกิดการระบาดไม่ทั่วถึงมือคนจน และไม่ครอบคลุมการรักษาพยาบาล ทำให้คนบางกลุ่มยากจนลงกว่าเดิม

แนวความคิดเรื่องการทดสอบการติดเชื้อ ยังจำเป็น เพราะผู้ติดเชื้อบางคนที่ผ่านกานตรวจแล้วไม่มีผลเป็นบวก อาจเข้าใจผิดว่าตนไม่ติดเชื้อ เพราะไม่แสดงอาการ เนื่องจากไม่มีการกักตัวติดตามอย่างจริงจัง ทำให้คนเหล่านั้นกลายเป็นสปรีดเดอร์โดยไม่รู้ตัว

ปัญหาการรายงานผลที่ไม่ใช่ในทันที มีช่องว่างระหว่างการเดินทางของข้อมูล ทำให้รู้ไม่ทันสถานการณ์  นอกจากนี้ผลการเก็บสถิติยังพบว่า มีความเสี่ยงในหมู่นักเรียนที่กลับเข้าเรียน ตามคำสั่งของรัฐบาลรวมทั้งครู และเจ้าหน้าทีของโรงเรียน ที่แม้ตรวจไม่พบโควิด ก็อาจเป็นสปรีดเดอร์โดยไม่รู้ตัวได้

งานแข่งมอเตอร์ไซต์ที่ Sturgis ที่เซาท์ดาโกต้า นำคนกว่า 250,000 มาชุมนุมกันโดยส่วนใหญ่ไม่สวมหน้ากาก

ส่วนรัฐที่เผชิญการระบาดอย่างหนัก ก็มีแต่รัฐบาลท้องถิ่นที่รณรงค์เพื่อ “ต่อสู้กับการระบาด” ไป ด้วยตนเองเช่น แคลิฟอร์เนีย, วิสคอนซิล, อิลลินอยส์ และเท็กซัส ด้วยการรณรงค์สวมหน้ากาก รักษาระยะห่าง ทำความสะอาดมือ และสถานที่  แต่ก็ไม่ได้เป็นไปอย่างทั่วถึงทุกรัฐในสหรัฐอเมริกา และก็มิได้ออกเป็นกฎหมายห้ามแต่อย่างใด

…………………………………………………

https://edition.cnn.com/2020/08/08/health/us-coronavirus-saturday/index.html