ทรัมป์ยังเพ้อจะเป็นต่อสมัยสอง?!? ยื้อไม่ถ่ายโอนอำนาจ ทำเสี่ยงสู้โควิด-19 ล่าสุดติดเชื้อกว่าวันละ 1.8 แสนแล้ว

1808

สหรัฐเจอโควิด-19 ระบาดพุ่งวันละกว่า 1.8 แสนราย เสียชีวิตต่อวันกว่า 2,000 รายและมีแนวโน้มทะลุเพดานไม่หยุด แต่การเมืองภายในยังชุลมุน เพราะปธน.ทรัมป์ดื้อแพ่งหวงอำนาจ แม้ผลเลือกตั้งแสดงว่าโจ ไบเดนชนะแน่นอน พยายามถ่วงเวลาและยุสาวกออกมาลงถนน ทีมบริหารของไบเดนชี้ความล่าช้าในการเริ่มการเปลี่ยนถ่ายอำนาจ ทำให้เกิดความเสียหายในการต่อสู้กับโควิด-19 และปัญหาด้านความมั่นคงอย่างน่าวิตก

ล่าสุด(16 พ.ย.2563) สหรัฐมีผู้ป่วยติดเชื้อ 11,366,379 ราย เสียชีวิต 251,832 ราย รักษาหาย 6,935,630 ราย ทั้งนี้จากการรายงานของสถาบันจอห์น ฮอบกินส์ ติดเชื้อพุ่งกว่า 1.5 แสนรายและเสียชีวิตวันละกว่า 2,000 รายแล้ว

สูญญากาศการเมืองทำเสี่ยงด้านความมั่นคง

‘ไบเดน’ตั้งผู้ช่วยคู่ใจเป็นประธานคณะเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาว เพื่อเตรียมพร้อมแก้ปัญหาโรคระบาดและความแตกแยกในประเทศ ตรงข้ามกับ’ทรัมป์’ที่ยังอ้างไม่ยอมเลิกว่า ถูกปล้นชัยชนะและยื่นฟ้องคัดค้านผลเลือกตั้ง นอกจากนั้นยังขัดขวางการถ่ายโอนอำนาจของคณะบริหารชุดใหม่ ซึ่งรวมถึงการไม่ยอมให้ไบเดนเข้าถึงข้อมูลลับสุดยอด แม้มีคำเตือนว่า นี่ไม่ใช่เรื่องการเมืองแต่เป็นความเสี่ยงด้านความมั่นคงของชาติก็ตาม

ในวันพุธที่ 11 พ.ย.2563 โจ ไบเดน ประกาศตั้ง รอน เคลน วัย 59 ปี ที่เคยเป็นหัวหน้าเจ้าหน้าที่ทำงานของเขาสมัยที่เขาเป็นรองประธานาธิบดีในคณะบริหารบารัค โอบามา ขึ้นเป็นประธานคณะเจ้าหน้าที่ของทำเนียบขาว โดยแสดงความเชื่อมั่นว่า ประสบการณ์ที่หลากหลายและความสามารถของเคลนในการทำงานร่วมกับคนจากทุกกลุ่มการเมือง เป็นคุณสมบัติที่จำเป็นสำหรับตำแหน่งนี้ ขณะที่อเมริกากำลังเผชิญวิกฤตโรคระบาดและความแตกแยกในสังคม

แต่ในเวลาที่ไบเดนเดินหน้าเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการตอนต้นปีหน้า ทางด้านประธานาธิบดีทรัมป์ซึ่งนับจากสื่อยักษ์ใหญ่ทั้งหลายประกาศเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา (7)ว่าไบเดนเป็นผู้ชนะการเลือกตั้ง ก็ไม่ได้ออกมาปราศรัยกับประชาชนเลยนอกจากโพสต์ข้อความทางทวิตตอร์นั้น ยังคงแสดงท่าทีไม่ยอมรับความพ่ายแพ้และเก็บตัวอยู่ในทำเนียบขาวแทบตลอดเวลา อีกทั้งดูเหมือนไม่ปฏิบัติหน้าที่ใดๆ ในฐานะประธานาธิบดี นอกจากทวิตปลดมาร์ก เอสเปอร์ จากตำแหน่งรัฐมนตรีกลาโหม เมื่อวันจันทร์ (9)

ในเช้าวันพุธ ทรัมป์ยังทวิตคล้ายเดิมว่า ตัวเองกำลังจะได้ชัยชนะ และโวว่ายังคงเดินหน้าฟ้องร้องในหลายรัฐว่า มีการโกงการเลือกตั้งทว่าไม่ได้โชว์หลักฐานที่หนักแน่นแต่อย่างใด แม้ผู้สังเกตการณ์นานาชาติ ผู้นำทั่วโลก เจ้าหน้าที่การเลือกตั้งในประเทศ และสื่อใหญ่ทั้งหลายลงความเห็นว่า การเลือกตั้งสหรัฐฯเมื่อวันที่ 3 ที่ผ่านมาเป็นการเลือกตั้งอย่างเสรีและเป็นธรรมก็ตาม

วุฒิสภาชิกเบอร์นี แซนเดอร์กล่าวว่า ปธน.ทรัมป์ต้องหยุดชี้นำกลุ่มผู้สนับสนุนของตนเองใหเข้าใจผิดเกี่ยวกับผลการเลือกตั้ง เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา (14 พ.ย.2563) กลุ่มผู้สนับสนุนทรัมป์ได้จัดเดินขบวนที่วอชิงตันดีซี ตะโกนร้องว่าการเลือกตั้งมีการโกง และไม่ยอมรับผลเลือกตั้งที่ไบเดนเป็นฝ่ายคว้าชัยชนะ พวกเขาไม่สวมหน้ากาก ไม่รักษาระยะห่างและจับกลุ่มขี่มอร์เตอร์ไซต์จำนวนมาก

“ความคิดที่ทรัมป์ยังคงเป่าหู่ผู้สนับสนุนว่าตนเองถูกโกงเลือกตั้งเป็นเหตุให้เขาแพ้ เป็นเรื่องน่าละอาย มีแต่คนที่ไม่ใช่อเมริกันอย่างแท้จริงเท่านั้นที่ทำ” แซนเดอร์สัมภาษณ์ซีเอ็นเอ็น

ดร.ไมเคิล ออลสเตอร์โฮล์ม ซึ่งเป็นที่ปรึกษากรรมการต้านโควิด-19 ของไบเดนและ ทำงานกับศูนย์นโยบายรับมือและวิจัยการติดเชื้อส ของมหาวิทยาลัยมินเนโซตา กล่าวกับเอ็นบีซีว่า

“เรากำลังอยู่ในช่วงเวลาอันตรายมากที่สุดนับตั้งแต่ปี 1918 เป็นต้นมา” เขากล่าวถึงการที่ไวรัสโควิด-19 ได้คร่าชีวิตผู้คนนับ 50 ล้านคนทั่วโลก “ถ้าเราไม่ให้ความสำคัญ ที่สามารถยับยั้งการแพร่ขยายของการติดเชื้อที่แพร่ไปตามอากาศ สู่เพื่อนบ้าน, เพื่อนของเรา, ผู้ร่วมงานของเรา เราจะได้เห็นจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นต่อเนื่องแน่นอน”

ผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากยังเห็นว่า การฟ้องร้องของทรัมป์ไม่มีแนวโน้มเปลี่ยนแปลงผลการเลือกตั้งได้ โดยรวมไปถึงการที่รัฐจอร์เจียประกาศว่าเนื่องจากผลที่ออกมาคู่แข่งทั้งสองมีคะแนนคู่คี่กันมากเหลือเกิน จึงให้มีการนับคะแนนใหม่และจะเป็นการนับด้วยมือ นอกจากนั้นการนับคะแนนในรัฐอะแลสกาซึ่งเพิ่งเสร็จสิ้น แม้ทรัมป์เป็นฝ่ายมีชัย แต่รัฐนี้ก็มีคะแนนคณะผู้เลือกตั้งเพียง 3 คะแนน จึงไม่สามารถทำให้เกิดการพลิกเกมได้

สมาชิกรีพับลิกันบางคน ล่าสุดคือ คอรีย์ สเตเพิลตัน รัฐมนตรีกิจการแห่งรัฐของรัฐมอนแทนา เรียกร้องให้ทรัมป์ยอมแพ้และแสดงความยินดีกับไบเดน ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญหลายคนเตือนว่า การปฏิเสธความปราชัยของทรัมป์กำลังเป็นการบ่อนทำลายกระบวนการประชาธิปไตยและถ่วงเวลาการถ่ายโอนอำนาจของไบเดน ซึ่งสร้างความเสียหายให้แก่ผลประโยชน์ของประเทศชาติ

จากการไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ของทรัมป์ คณะบริหารของเขาจึงยังไม่มีคำสั่งให้สำนักบริหารงานบริการทั่วไป (จีเอสเอ) ที่ดูแลจัดการระบบราชการในวอชิงตัน เริ่มต้นกระบวนการถ่ายโอนอำนาจ ส่งผลให้หน่วยงานแห่งนี้ยับยั้งการจ่ายงบประมาณและการบรรยายสรุปด้านความมั่นคงแก่ไบเดน

ไมค์ โรเจอร์ส อดีต ส.ส.สหรัฐฯจากพรรครีพับลิกันและอดีตประธานคณะกรรมาธิการข่าวกรองสภาล่าง ชี้ว่า ศัตรูของอเมริกาคงไม่รอการถ่ายโอนอำนาจ ดังนั้น ไบเดนจึงควรได้รับฟังการบรรยายสรุปประจำวันสำหรับประธานาธิบดีเพื่อให้รับรู้ภัยคุกคามล่าสุดและเริ่มต้นวางแผนการรับมือ โรเจอร์สยังย้ำว่า นี่ไม่ใช่เรื่องการเมือง แต่เป็นความมั่นคงของชาติ

วุฒิสมาชิก เจมส์ แลงก์ฟอร์ด จากพรรครีพับลิกัน เผยว่า ถ้าจนถึงวันศุกร์นี้ (13) ไบเดนยังไม่สามารถเข้าถึงการบรรยายสรุปข่าวกรอง เขาจะลงมือผลักดันเรื่องนี้เนื่องจากเป็นสิ่งจำเป็นไม่ว่าผลเลือกตั้งขั้นสุดท้ายจะออกมาอย่างไรก็ตาม