นายกพ้อไม่ใช่ซูเปอร์แมน ผมก็กลัวติดคุก เหน็บแต่บางคนไม่กลัว

1763

บิ๊กตู่” พูดไปบ่นไป ลั่น ไม่ห่วงตำแหน่ง แต่ห่วงฐานะประเทศ หวั่น ตีกันเอง ต่างชาติย้ายฐานผลิตเผ่นหนี ยอมรับกลัวติดคุก เผยทำอะไรต้องรอบคอบ เหน็บมีบางคนไม่กลัวคุก ออกตัวไม่ใช่ซูเปอร์แมน ทำงานเป็นทีม

จากที่วันนี้(11พ.ย.63)  พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม  เป็นประธานงานสัมมนาและกล่าวปาฐกถาในงานสัมมนา”ภาคธุรกิจไทยในวิถียั่งยืน”ตอนหนึ่งว่า วันนี้ไม่ใช่โลกใบเก่า เป็นโลกใบใหม่ เวลาตนไปคุยกับเอกอัครราชทูตหลายประเทศหลายปีที่ผ่านมา เขาก็พอใจประเทศไทย มีความสุขอยู่ประเทศไทย หลายคนบอกมีคนไม่อยากคุยกับตน แต่ตนก็เห็นเขาคุยกับตนทุกคน

“การประชุมต่างๆเขาก็เชิญไปทุกประเทศ ก็ไม่เห็นมีปัญหาอะไร ตนไม่ได้บอกคนนั้นถูก คนนั้นผิด แล้วตนถูกมันไม่ใช่ ก็ต้องฟังกันทุกคนแล้วมาใคร่ครวญดูว่าสิ่งที่ทำมาแล้วดีหรือยัง ถ้าไม่ดีแล้วจะทำอย่างไร เราต้องเข้าใจซึ่งกันและกัน ไม่มีใครได้มากได้น้อย รัฐบาลไม่ได้อะไร เรื่องทุจริตต่างๆถ้าเห็นก็แจ้งกันมา ช่วงที่ผ่านมามีเยอะพอควร ก็ลงโทษกันไป สิ่งเหล่านี้เป็นคนละบริบท ถ้าเอามาพันกันทั้งหมดทุกอย่าง มันก็ไม่ดีหมดก็เป็นอยู่อย่างนี้

ตนยอมรับหลักการตรงนี้ ซึ่งต้องนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาปรับใช้ พระองค์ท่านทรงทำไว้หมดแล้ว อยู่ที่ว่าเราจะนำมาปฏิบัติได้อย่างไร อยู่ที่จิตใจประชาชนทุกคน ไม่อย่างนั้นขัดแย้งกันอยู่อย่างอย่างนี้ หลักการและเหตุผล จะทำอะไรต้องดูอะไรทำได้ อะไรทำไม่ได้ อะไรที่ไม่ควรทำ นั้นคือสิ่งที่รัฐบาลดูในภาพรวม เราต้องทำอย่างนี้เสมอ เพราะมีประชาชนเป็นศูนย์กลาง รัฐบาลกำลังเร่งรัดการพัฒนาให้เป็นไปตามโลกปัจจุบันก็คือ เทคโนโลยีดิจิทัลซึ่งมีทั้งบวกและลบ วันนี้กฎหมายต่างๆเกี่ยวกับออนไลน์ก็ออกมา แต่เราไม่ให้ความสนใจ กฎหมายมีทั้งคนได้และไม่ได้ มีทั้งคนเสียและเสียน้อย แต่กฎหมายต้องทำออกมา แต่กฎหมายต้องทำให้คนส่วนใหญ่ปฎิบัติได้”

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวอีกว่า ต้องเรียนรู้ออนไลน์และออฟไลน์ สิ่งที่มีประโยชน์ทุกคนต้องเปิดดูบ้าง ไม่อย่างนั้นรู้แต่ด้านเดียวแล้วตีกันไม่เลิก วันนี้ต้องพิจารณามีกี่โครงการเกิดขึ้นแล้วบ้าง วันนี้มีรถไฟฟ้ากี่สาย มีรถไฟรางคู่กี่กิโลเมตร มีท่าเรือ มีอีอีซี สิ่งเหล่านี้แม้ใช้เวลาก่อสร้างยาวนาน แต่อย่างน้อย 5 ปีข้างหน้ามีผลผลิตออกมาแน่นอน ถ้าเราอดทน เราไม่เคยมีโครงการขนาดใหญ่ในประเทศไทยเลย ที่โชติช่วงชัชวาลมีไหม เราจะกินบุญเก่าอยู่อย่างนี้เหรอ มันก็ไม่ได้ ต้องหาอะไรใหม่ๆขึ้นมาทำแต่ก็ต้องระวังการทุจริต

“สิ่งที่ทำวันนี้ถ้าเราทำอย่างรอบคอบ ทำจากการหารือจากการเห็นชอบร่วมกัน โดยที่ไม่ต้องเรียกร้องอะไรซึ่งกันและกันจนมากเกินไป จนดูแลไม่ได้ มันจึงจะเรียบร้อยและสามารถทำได้ ตนไม่อยากให้ต่างประเทศมองว่าเราเชื่อมั่นไม่ได้ เราต้องการให้เขาย้ายฐานการผลิตมาไทย แต่มีปัญหากันอยู่ทุกวัน เขาจะมาไหม นี่คือสิ่งที่ตนเป็นห่วง

ผมไม่ได้ห่วงที่ตัวผมเรื่องตำแหน่งอะไรทั้งสิ้นแต่ผมห่วงฐานะประเทศไทยจะไปอยู่ตรงไหนและถ้าเขาไม่มา ย้ายฐานผลิตไปที่อื่นกันหมดจะทำอย่างไร เรื่องสิทธิประโยชน์ก็จำเป็นต้องรับฟังความคิดเห็นของเราว่าจะให้มากน้อยแค่ไหนมากเกินไปก็กลายเป็นประโยชน์ ให้น้อยเกินไปเขาก็ไม่มา การปกครองต่างกันสังคมนิยมประชาธิปไตย กับประชาธิปไตยมันต่างกันตรงไหนนี่คือสิ่งที่ทุกคนต้องเอามาคิด

ผมก็กลัวติดคุกเหมือนกัน หรือใครไม่กลัวบ้างไม่มีหรอก ยกเว้นบางคนไม่กลัวก็มี ก็แล้วแต่ เพราะกฎหมายเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้คนอยู่ร่วมกันได้ในสังคม นั่นคือกฎหมายและความเท่าเทียมเพราะทุกคนอยู่ภายใต้กฎหมายฉบับเดียวกันไม่ว่าจะผมหรือใคร ส่วนที่ว่าใครจะบอกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม ก็ไปฟ้องร้องก็ไปฟ้องร้องหรือฟื้นคดีขึ้นมา ถือเป็นช่องทางตามประชาธิปไตยอยู่แล้ว

ถ้าจะคิดเอาเองก็เป็นแบบนี้ หลายอย่างก็จริง แต่หลายอย่างก็ไม่จริง หากจริงก็ต้องแก้ไข ก็แก้ได้ทั้งหมดให้ความเป็นธรรม ผมก็รื้อทุกอันมาให้ อย่ามองทุกอย่างเป็นปัญหาไปหมด ปัญหาบางอย่างมีไว้ให้แก้ มีไว้ให้ฟันฝ่าเป็นบทเรียน ประวัติศาสตร์มีไว้ให้เป็นบทเรียน เอามาศึกษาอะไรไม่ดีอย่าไปทำอีก

บางประเทศที่เขาไม่ทะเลาะกันเพราะเขาเคยเผชิญหน้าแบบนี้มาแล้ว อย่างเช่นเรื่องของสงครามโลก สงครามเหนือใต้ตายเป็นล้านคน เขาไม่เขาไม่ต้องการให้เกิดอีก นั่นคือสิ่งที่เขาคิดแต่ของเราไม่เคยเจอแบบนี้ มันจะไม่มีอยู่ผมก็หวังว่ามันจะไม่มีอยู่แล้ว แต่เราชอบรบกันด้วยความคิด รบกันด้วย Social ก็ต้องระมัดระวังก็ต้องระมัดระวัง ขอให้เรียนรู้ว่าอะไรคืออะไร ไม่ว่าจะทำไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม จะเห็นได้ว่าการทำงานที่ผ่านมาผมพยายามลงไปดูไปจี้ไปถาม และมีและมีคำสั่งในกรอบของนายกรัฐมนตรี

ผมไปลงรายละเอียดมากไม่ได้ ให้ข้าราชการทุกคนมีสิทธิ์คิด ผมและคณะทำงานก็มากลั่นกรองกันอีกครั้ง ถ้าใช่ก็ทำ ถ้าไม่ใช่ก็ต้องหาวิธีการ ผมทำงานแบบนี้ไม่ใช่ทำส่งเดช ไปเรื่อย ทำขนาดนี้ก็ยังมีหลุดรอดเหมือนกันก็ต้องมาแก้ไข เราทำงานด้วยคณะทำงาน ผมไม่ใช่ซูเปอร์แมน ที่จะทำคนเดียว เศรษฐกิจก็มีคนคิดหลายคน มีทั้งฝ่ายกฎหมายฝ่ายทำงาน ผมต้องฟังทุกฝ่าย สิ่งสำคัญคือเราต้องสร้างพื้นฐานของประเทศให้มี แบบแผนด้วยหลักการเศรษฐกิจพอเพียง ไม่ใช่สอนให้คนจน แต่ให้ทุกคนมีคุณภาพชีวิตที่ดี ตามฐานะของตัวเอง มีเหตุผลเพียงพอต่อการใช้จ่าย” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

อย่างไรก็ตาม  ผู้สื่อข่าวรายงานว่าตลอดช่วงปาฐกถาของพล.อ.ประยุทธ์ ได้มีสีหน้าค่อนข้างเคร่งเครียด แม้บางจังหวะเจ้าตัวจะพยายามชี้แจงว่าไม่ได้บ่นแต่เป็นการเล่าสู่กันฟัง แต่สีหน้าก็ยังคงเคร่งเครียด ขณะเดียวกันในช่วงท้ายก่อนเดินลงจากเวทีพลเอกประยุทธ์ ได้กล่าวอีกว่าอย่าไปพาดหัวข่าวว่านายกฯบ่น ตนเพียงแต่เล่าให้ฟังเท่านั้น