ช้าไม่ได้?!!! รัฐต้องอุ้ม SMEs เข้าไม่ถึงเงินกู้ 5 แสนล้าน เงินค้างท่อที่ธนาคาร 40%  สอท.วอนปลดล็อกผ่อนเกณฑ์ ก่อนล้มครืน

1853

ธุรกิจเอสเอ็มอีโคม่า ขาดสภาพคล่องหนัก ส.อ.ท.ชี้เข้าไม่ถึงซอฟต์โลน 5 แสนล้าน กู้ได้จริงแค่ 1 ใน 5 วอนรัฐปรับเกณฑ์ เพิ่มวงเงินค้ำให้บสย. ขยายเวลาเข้าร่วมค้ำประกันต่อจาก ธปท. อีก 3-5 ปี พร้อมยืดพักชำระหนี้ต่ออีก 6 เดือนถึง 1 ปี หวังทีมเศรษฐกิจใหม่เข้ามาแก้ไขทันก่อนล้มครืนทั้งระบบ

นายปรีชา ส่งวัฒนา รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และประธานคณะอนุกรรมการการเงินและภาษี เปิดเผย ว่า ภาคเอกชนระดับ เอสเอ็มอี กำลังประสบปัญหาเรื่องสภาพคล่องอย่างหนัก แม้ว่ารัฐบาลจะคลายมาตรการล็อกดาวน์ไปแล้ว  แต่ภาคธุรกิจยังไม่สามารถจะทำรายได้กลับมาเต็ม 100% เหมือนก่อนเกิดการระบาดโควิด-19  และต้องรับภาระค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เพิ่มขึ้นหลังจากเปิดดำเนินกิจการใหม่   ขณะที่มาตรการให้ความช่วยเหลือด้านการเงินและด้านภาษีที่รัฐบาลมอบให้ กำลังจะสิ้นสุดลงในเดือนกันยายนนี้ 

“คณะกรรมการของ ส.อ.ท.มีเป้าหมายว่าจะต้องกำหนดแนวทางช่วยเหลือเรื่องการเงินและภาษีให้สอดคล้องกับแผนรัฐบาลว่า ทำอย่างไรให้คนไม่ตกงานหรือตกงานน้อยที่สุด นั่นก็คือธุรกิจต้องไม่ล้ม   โดยสิ่งที่จะช่วยได้ก็คือ สภาพคล่อง เนื่องจากช่วงโควิด ผู้ประกอบการไม่มีรายได้เข้ามา แต่ก็ยอมรับว่ารัฐบาลออกมาตรการรับมือวิกฤตครั้งนี้ได้ดีกว่าปี 2540 มาก  ทั้งเรื่องการพักหนี้ก็ทำได้เร็ว  แต่มาตรการดังกล่าวกำลังจะสิ้นสุดในเดือนกันยายนนี้แล้ว  ส่วนมาตรการซอฟต์โลนถือว่าดี  เพราะวงเงินซอฟต์โลน 500,000 ล้านบาท ให้ดอกเบี้ยต่ำมาก (2%) 

แต่จนถึง ณ วันที่ 17 ก.ค. 2563 ปล่อยกู้ไปได้เพียง 63,342 ราย คิดเป็นวงเงิน 103,750 ล้านบาท หรือเฉลี่ยได้รายละ 1.6 ล้านบาทเท่านั้น ยังเหลือวงเงินอีก 400,000 ล้านบาทที่ปล่อยไม่ได้ และนี่คือประเด็นสำคัญที่อยากให้รัฐบาลทำต่อไป ต้องทำให้ซอฟต์โลนฟังก์ชั่นมากขึ้น” นายปรีชากล่าว

1.สอท.เสนอขยายวงเงินค้ำประกันเพิ่ม ให้ บสย.อุ้มต่ออีก 5-7 ปี

ส.อ.ท.ได้หยิบยกประเด็นเรื่อง “ซอฟต์โลน” เข้าไปหารือในที่ประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ซึ่งทางสมาคมธนาคารแจ้งว่า ไม่ได้ติดปัญหาธนาคารจะมีรายได้ลดลงจากการปล่อยสินเชื่อที่มีดอกเบี้ยต่ำเพียง 2% แต่ทางธนาคารติดในประเด็นเรื่องของ “หลักประกัน” เท่านั้น กล่าวคือปัจจุบัน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ให้หลักประกันไว้แค่เพียง 2 ปีเท่านั้น ซึ่งระยะเวลาดังกล่าว ธปท.จะเป็นผู้รับความเสี่ยงไว้ให้

แต่ด้วยสถานการณ์ปัจจุบัน คาดว่าการชำระเงินกู้นั้นยากที่จะได้คืนตามกำหนด 2 ปี ดังนั้น ที่ประชุมจึงเห็นพ้องกันว่า ควรให้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เข้ามาช่วยค้ำประกันต่อไปอีก 3 หรือ 5 ปี เป็น 5-7 ปี ซึ่งจะทำให้เอกชนสามารถฟื้นตัวสามารถกลับมาชำระหนี้ได้ ซึ่งประเด็นนี้ทางสถาบันการเงิน “ก็เห็นด้วย” ส่วน บสย.ก็เคยมี โครงการค้ำประกันสินเชื่อให้เอสเอ็มอี (PGS 8) วงเงิน 200,000 ล้านบาทอยู่แล้ว แต่วงเงิน บสย.กำลังจะหมดและได้เสนอขอขยายวงเงินใน PGS 8 Plus เพิ่มอีก 50,000-100,000 ล้านบาท

“ปัญหาตอนนี้ก็คือ วงเงินค้ำประกัน บสย.จะหมดลง จึงต้องมีงบประมาณก้อนหนึ่งมาช่วย บสย. ให้มีโครงการ PGS วงเงินค้ำประกัน 200,000 ล้านบาทต่อไปอีก อย่างน้อยไปเอาจากโครงการ PGS 8 Plus มาอีกสัก 50,000 หรือ 100,000 ล้านบาท เพิ่มมาอีกก็ยังดี เพราะถ้ามีวงเงินค้ำประกัน 10,000 ล้านบาท จะสามารถค้ำประกันได้อีกหลายราย เพราะการค้ำประกันไม่ได้ค้ำทั้งวงเงิน เป็นการค้ำประกันเป็นสัดส่วนตามสูตรของ บสย. ส่วนงบประมาณที่จะใช้ขยายวงเงินค้ำประกันนั้นก็ไม่ได้ใช้ทันที เป็นเพียงเงินค้ำประกันที่ออกมาเป็นลอต ถ้ารัฐบาลตกลงกับ PGS 8 ออกมาได้ในปีงบประมาณ 2567 ช่วยให้ซอฟต์โลนฟังก์ชั่นได้ อันนี้สำคัญมาก เรากำลังจะผลักดันต่อ เบื้องต้นท่านนายกฯรับปาก แต่เมื่อกระทรวงการคลังเปลี่ยนตัวรัฐมนตรีใหม่ ก็ต้องดูว่าจะทำต่ออย่างไร หากเป็นชื่อ นายปรีดี ดาวฉาย ประธานสมาคมธนาคารไทย ตามที่ปรากฏเป็นข่าว ผมก็ว่าดี เพราะอยู่ใน กกร.อยู่แล้ว รู้ปัญหาดีทั้ง 2 ฝั่ง คือ ฝั่งแบงก์และผู้ประกอบการ” นายปรีชากล่าว

2.ขอให้ภาครัฐเลื่อนการชำระเงินกู้ทั้งต้นและดอกเบี้ยที่แบงก์ชาติไปอีก 6 เดือน 

ถ้าถึงกำหนดแล้ว แบงก์ชาติไม่ขยายเวลาพักชำระหนี้ให้ บวกกับไม่ปล่อยซอฟต์โลน SMEs จะมีปัญหาทันที คาดว่ายอดหนี้เสีย (NPL) ก็จะเพิ่มขึ้นลามไปยังธนาคารก็มีปัญหาเพราะต้องตั้งสำรองมากขึ้น ส.อ.ท.จึงต้องย้ำถึงเหตุที่ต้องขอเลื่อน เพราะว่า “ถึงเปิดกิจการได้แล้ว แต่มันไม่ได้เปิดแบบเดิม” เปิดได้เฉพาะภายในประเทศ แต่รายได้ของไทย 70 ถึง 80% มาจาก การส่งออกกับการท่องเที่ยว ซึ่งนักท่องเที่ยวต่างประเทศเหลือ 0 เหลือแต่ท่องเที่ยวภายใน และก็จะเที่ยวเพียงแค่วันศุกร์และเสาร์  ไม่รู้ว่าจะกลับมาเต็มที่ได้เมื่อไร 

3.มาตรการทางภาษี หัก ณ ที่จ่าย ส.อ.ท.เสนอกรมสรรพากร ขอให้ขยายไปถึงสิ้นปี 2563 หรือปี 2564  เพราะเงินจำนวนนี้เป็นเงินจากกำไรของผู้ประกอบการที่หักไปล่วงหน้า ซึ่งการขยายเวลานี้ รัฐไม่ได้เสียประโยชน์แต่อย่างใด ซี่งจะ ต่อเนื่องกับการใช้แพลตฟอร์มใหม่ของกรมสรรพากร ที่คาดว่าจะออกมาช่วงปลายปี โดยแพลตฟอร์มนั้นจะลดภาษี หัก ณ ที่จ่าย จาก 3% เหลือ 2% แต่การขยายเวลาก็เพื่อให้เวลากรมได้พัฒนาแพลตฟอร์มก่อน

“ทุกคนทราบถึงปัญหา แต่เหตุที่เรื่องนี้ที่ยังไม่คลิก  ส่วนหนึ่งอาจเพราะว่าอยู่ระหว่างการเลือกผู้ว่าการแบงก์ชาติคนใหม่ก็ได้  ส.อ.ท.ก็ต้องส่งเสียงไป เพื่อให้เขาอนุมัติ  เพราะเขาก็รู้ มันเป็นประโยชน์กับทุกฝ่าย เช่นเดียวกันกับที่ท่านนายกฯเรียกเอกชนพูดคุยก่อนหน้านี้ ก็มีการพูดประเด็นนี้และอีกหลาย ๆ เรื่อง แต่นี่คือ 2 เรื่องที่ ส.อ.ท.อยากจะผลักดัน ต้องให้ผ่าน ไม่อย่างนั้นเดือนกันยายน-ตุลาคม SMEs จะเดือดร้อนมาก  แน่นอนว่าจะมีการปิดกิจการ หนี้เสียพุ่ง ส่วนจะมีผลต่อภาพรวมเศรษฐกิจ GDP ปี 2563 หรือไม่นั้น ผมไม่สามารถประเมินได้ ทางสภาพัฒน์น่าจะมีการประเมินไว้แล้ว เพราะมาตรการเยียวยาที่เข้าไปช่วยภาคเอกชนได้เพียงแค่ 12% เท่านั้น ” นายปรีชากล่าว

………………………………………….