สหรัฐฯตัดจีเอสพีสินค้าไทย!?! กระทบส่งออกมูลค่า 2.5 หมื่นล้านบาท เหตุไม่เปิดตลาดเสรีเนื้อหมูเข้าไทย

2557

ทรัมป์แสบ-ตัดจีเอสพี (GSP) สินค้าไทยตามคาด หลายฝ่ายฟันธงน่าจะสืบเนื่องจากไทยไม่เปิดเสรีนำเข้าเนื้อหมูและเนื้อหมูแปรรูปจากสหรัฐ ทั้งนี้ มีผล 30 ธ.ค.นี้ มูลค่า 817 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ประมาณ 25,433.21 ล้านบาท คาดไทยเร่งส่งของก่อนเส้นตายและต้องลุ้นว่าผลการเลือกตั้งสหรัฐ จะออกมาเป็นอย่างไร ซึ่งจะเชื่อมโยงถึงการกำหนดนโยบายเศรษฐกิจ และการส่งออกของไทยในอนาคตด้วย

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐเปิดเผยในวันศุกร์ที่ 30 ต.ค.2563 ว่า สหรัฐจะระงับสิทธิพิเศษทางการค้าสำหรับสินค้าบางรายการของประเทศไทยภายใต้ระบบสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรเป็นการทั่วไป (จีเอสพี) โดยจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 30 ธ.ค.นี้

“ผมพิจารณาแล้วพบว่า ไทยไม่ได้ให้ความมั่นใจกับสหรัฐว่า ไทยจะเปิดโอกาสให้สหรัฐเข้าถึงตลาดของไทยได้อย่างเท่าเทียมและสมเหตุสมผล”  “ด้วยเหตุนี้ ผมจึงพิจารณาแล้วว่า เป็นการเหมาะสมที่สหรัฐจะระงับ GSP สำหรับสินค้าของประเทศไทย” ระบุในจดหมายที่ส่งถึงนางเปโลซี ประธานรัฐสภาสหรัฐ

รัฐบาลสหรัฐฯ ให้เหตุผลถึงการตัด GSP สินค้าไทยเพิ่มเติม หลังเจรจากันไม่ต่ำกว่า 2 ปี ขณะที่หลายฝ่ายมองว่า น่าจะมีเหตุมาจากการที่ไทยไม่ยอมเปิดตลาดเนื้อหมู, เครื่องในและเนื้อหมูแปรรูปจากสหรัฐฯ ความเคลื่อนไหวต่อไทยครั้งล่าสุด เป็นไปตามการร้องเรียนของสมาคมผู้ผลิตและแปรรูปสุกรแห่งชาติของสหรัฐ (NPPC) ในปี 2561 ซึ่งเรียกร้องขอให้รัฐบาลดำเนินมาตรการจริงจังกับไทยในกรณีนี้

“America First” ฟางเส้นสุดท้ายหาเสียงของทรัมป์

สำนักงานผู้แทนการค้าของสหรัฐ (USTR) เปิดเผยว่า ระบบจีเอสพี ได้ถูกกำหนดขึ้นเพื่อส่งเสริมการพัฒนาทางเศรษฐกิจโดยอนุญาตให้มีการส่งสินค้าปลอดภาษี 3,500 รายการจากประเทศและเขตแดนกว่า 100 แห่งไปยังสหรัฐ
ไทยและสหรัฐเจรจากันมากว่า 2 ปีแล้วเกี่ยวกับประเด็นการเปิดตลาดไทยให้กับสินค้าของสหรัฐ รวมถึงประเด็นการปกป้องสิทธิแรงงานในประเทศไทย
ทั้งนี้ สหรัฐจะตัดจีเอสพีสินค้าไทยมูลค่ารวม 1.3 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งรวมถึงหอยบางชนิด, มะม่วง, ผลิตภัณฑ์จากป่าไม้ และสินค้าอิเล็กทรอนิกส์บางประเภท

ผลงานจากนโยบายทรัมป์ตลอด 4 ปี ทั้งการแก้ไขปัญหาขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ โดยการสนับสนุนการใช้สินค้าที่ผลิตโดยสหรัฐ ตามนโยบาย AMERICAN FIRST เพื่อส่งเสริมให้เกิดการลงทุนและจ้างงาน นำไปสู่การเปิด สงครามการค้า (Trade War) และสงครามเทคโนโลยี (Tech War) กับจีน รวมถึงการลดภาษีครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐ จะเป็นแรงหนุนทำให้ทรัมป์สามารถยืนหนึ่งในตำแหน่งนี้ต่อไปได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของชาวอเมริกันในอีก 3 วันข้างหน้า

กฎหมายการค้าสหรัฐใช้บังคับไทยมายาวนาน?

ย้อนกลับไปในในช่วงที่ทรัมป์เข้ารับตำแหน่งไม่เพียงทำสงครามการค้ากับจีน แต่ยังได้ออกมาตรการทางการค้ามากมายกับสินค้าไทย อาทิ
– การใช้มาตรการปกป้องการนำเข้าที่เพิ่มขึ้น (เซฟการ์ด) กับเครื่องซักผ้าและส่วนประกอบ และ-กำหนดโควตานำเข้าสินค้าโซลาร์เซลกับไทยเมื่อเดือนมกราคม 2561 เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมภายในตามนโยบาย American First ทั้งยัง 

-ได้ใช้มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด (เอดี) สินค้าที่นอน ล้อยาง และการใช้มาตรา 232 ตามกฎหมาย Trade Expansion Act ปี 1962 กับสินค้าที่เป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงสหรัฐฯ ซึ่งมีทั้งกลุ่มเหล็กและชิ้นส่วนยานยนต์ของไทย รวมถึงการตัดสิทธิจีเอสพีสินค้าไทย  573 รายการ เมื่อ 25 เม.ย. 2563 ที่ผ่านมาด้วย

9 เดือนส่งออกไทย-สหรัฐ พุ่ง 7.4%

สหรัฐอเมริกาเป็นตลาดส่งออกหลักของไทยครองส่วนแบ่ง 14.7% ของภาพรวมการส่งออกไทยทั้งหมดล่าสุดในช่วง 9 เดือนแรก (ม.ค.-ก.ย.) ไทยส่งออกไปสหรัฐมูลค่า 25,358 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 7.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ถือเป็นตลาดส่งออกเพียง 1 ใน 3 แห่งที่เติบโตสวนทางกับภาพรวมการส่งออกไทยที่ยังคงติดลบ 7.33% อีกทั้งสหรัฐฯ ยังประเทศให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีศุลกากร (GSP) กับไทย 2,672 รายการ และยังอยู่ระหว่างการทบทวนล่าสุดกรมการค้าต่างประเทศ จะรายงานประจำปี ซึ่งคาดว่าผลการพิจารณาการตัดสิทธิ GSP ไทย-สหรัฐฯ จะเกิดขึ้นภายใน 31 ตุลาคม 2563 นี้

10 สินค้าส่งออกเพิ่มไปยังสหรัฐ  จากการตรวจสอบรายงานในช่วง 9 เดือนแรก 2563 สินค้าส่งออกสำคัญ 10 อันดับแรกของไทยไปในตลาดสหรัฐ คือ เครื่องคอมพิวเตอร์ มูลค่า 4,995 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 25.20 % ผลิตภัณฑ์ยาง มูลค่า 2,743 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 9.53 % ยานพาหนะอื่นๆและส่วนประกอบ มูลค่า 1,135 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 10,648 % ถือว่าเป็นสินค้าที่มีอัตราเติบโตมากที่สุด

ถัดมาคือ อุปกรณ์กึ่งตัวนำ ทรานซิสเตอร์ และไดโอด มูลค่า 845 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 187 %
อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป มูลค่า 843 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 24 % เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ มูลค่า 786 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 6.87 % เครื่องใช้ไฟฟ้าและส่วนประกอบอื่นๆ มูลค่า 786 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 40 %
ส่วนอัญมณีและเครื่องประดับ มูลค่า 719 ล้านเหรียญสหรัฐ ติดลบ 23 % และเครื่องจักรกลและส่วนประกอบของเครื่องจักรกล มูลค่า 647 ล้านเหรียญสหรัฐ ติดลบ 4 %