Truthforyou

กยท.ตั้งการ์ดสกัดขาใหญ่ทุบราคายาง!?! คาดไม่นานพุ่งถึง 100 บาทต่อกก.ดันมูลค่าส่งออกเพิ่มกว่า 30 %

ราคายางยังปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง สูงสุดในรอบ 3 ปี 8 เดือน คาดว่าจะผ่านราคา 80 บาทต่อกิโลกรัม(กก.)ขึ้นไปถึง 90-100 บาทต่อ(กก.)ได้  การที่ราคาไต่ระดับขึ้นสูงไม่หยุด เป็นผลดีกับเกษตรกรทำให้มีรายได้มากขึ้น แต่ในห่วงโซ่อุปทานการผลิตยางพารา ยังมีกลุ่มผู้ประกอบการ และผู้ส่งออกเกี่ยวข้อง อาจได้รับผลกระทบกับสถานการณ์แบบนี้ เพื่อป้องกันปัญหาการทุบราคา ผู้ว่าการยางฯ จึงเตรียมการพูดคุยกับผู้ส่งออกและผู้ประกอบการก่อน  และเสนอรัฐบาลเกี่ยวกับมาตรการทางการเงินหนุนช่วยอย่างเหมาะสม

ณกรณ์ ตรรกวิรพัท ผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทย(กยท.) กล่าวว่าในปี 2563 ราคายางพาราทุกประเภทปรับเพิ่ม สูงกว่าราคารับประกัน เนื่องจากเกิดน้ำท่วมและฝนตกหนัก ในจีนตอนใต้และเวียดนาม ที่ทำให้ผลผลิตทั่วโลกลดลง ส่วนประเทศไทยปีนี้ภาคใต้มีฝนชุก เกษตรกรไม่สามารถกรีดยางได้ ผลผลิตจึงออกสู่ตลาดน้อยกว่าทุกปี  โดยในช่วงเดือน ต.ค.- พ.ย. นั้น จะออกมีผลผลิตสู่ตลาดกว่า10% ของผลผลิตโดยรวม

“ ทุกประเทศผู้ผลิตยางในขณะนี้เกิดปัญหาฝนตก น้ำท่วม เกษตรกรกรีดยางไม่ได้  เป็นปัจจัยที่ส่งผลด้านราคายางให้ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง จากการไล่ซื้อของผู้ประกอบการจากจีน ที่ได้รับแรงหนุนจากรัฐบาลสนับสนุนให้มีการใช้รถยนต์ขนาดเล็กมากขึ้น ทำให้มีการผลิตและใช้ยางรถยนต์ในจีนเพิ่มขึ้น 3 เท่าจากปกติ”

ตลาดต้องการมากแต่ผลผลิตไม่พอ
ในขณะที่ตลาดโลกยังมีความต้องการ จึงคาดว่าในปีนี้ไทยจะส่งออกได้ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมาที่ 4.1 ล้านตัน แต่มูลค่าจะเพิ่มขึ้น 30 % จากปี 62 ที่มีมูลค่าส่งออก 187,126.96 ล้านบาท เนื่องจากระดับราคาที่สูงกว่า

ในเดือน ต.ค.ที่ผ่านมา ผลผลิตออกสู่ตลาด 4.41 แสนตันน้อยกว่าปกติที่จะมีผลผลิต ถึง 5.5 แสนตัน แต่ความต้องการใช้อยู่ที่ 5 หมื่นตัน ทำให้เกิดการไล่ซื้อ สถานการณ์นี้มีโอกาสที่ราคายางจะทะลุ 90-100 บาทต่อกก. นอกจากนี้ทุกประเทศยังมีปัญหาเรื่องการระบาดของโควิด 19 และกังวลกับว่าจะระบาดรอบที่ 2  ทำให้ความต้องการใช้ ถุงมือยางพาราเพิ่มขึ้นทั้งในวงการแพทย์ และเพื่อใช้ในชีวิตประจำวันทั่วไป โดยเป็นส่วนหนึ่งที่โรงงานในจีน มาเลเซีย และไทย เพิ่มกำลังการผลิต และ มีคำสั่งซื้อน้ำยางข้นเพิ่มขึ้น  ทำให้ผู้ส่งออกของไทยต้องไล่ซื้อเพื่อส่งตามออเดอร์ล่วงหน้า ส่งผลให้ราคาสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว

การซื้อขายยางพารา ณ ตลาดกลางยางพารา 
จังหวัดนครศรีธรรมราช ณ วันที่ 27 ต.ค.2563 ราคายางแผ่นดิบรมควัน ชั้น 3 ราคา 77.72 บาทต่อกก. สูงกว่าราคารับประกันประมาณ 30% จากราคาประกัน 60 บาทต่อกก. ราคาน้ำยางสด อยู่ที่ 68.50 บาทต่อกก. สูงกว่าราคาประกัน 20% จากราคาประกัน 57 บาทต่อกก.

ราคายางที่ปรับขึ้นในขณะนี้เป็นผลมาจากหลายปัจจัยทั้งภายในและภายนอกประเทศ ที่ชัดเจนที่สุดคือ ผลผลิตยางของทุกประเทศผู้ผลิตออกสู่ตลาดน้อย โดยเวียดนาม พื้นที่ปลูกยางมีน้ำท่วม มาเลเซียและอินโดนีเซียมีปัญหายางใบร่วง ภาคใต้ของไทยมีปัญหาฝนตกชุก ในขณะที่ความต้องการยางในตลาดโลกปรับเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะจีน ประเทศผู้นำเข้ายางที่มากที่สุด

คำสั่งซื้อยางของจีนจากต่างประเทศกลับมาฟื้นตัว การจำหน่ายรถยนต์ของจีนเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะรถบรรทุกขนาดใหญ่ เพิ่มขึ้น 63% รถยนต์ขนาดเล็กเพิ่มขึ้นจากเดิม 1 เท่าตัว กำลังการผลิตของโรงงานผลิตยางรถยนต์เพิ่มขึ้น จึงมีแนวโน้มใช้ยางมากขึ้นด้วย เชื่อว่าราคายางยังคงมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น และเป็นที่น่าหวั่นใจว่า ต่อไปผลผลิตยางอาจจะไม่เพียงพอสำหรับความต้องการใช้ของตลาดต่างประเทศ นอกจากนี้ยังเป็นผลมาจากโรคโควิด-19ที่อาจระบาดรอบ2 ทำให้ความต้องการใช้ถุงมือยางยังมีสูง

เมื่อพิจารณาจากความต้องการโดยรวม และราคาในตลาดซื้อขายล่วงหน้า 6-7 เดือน แล้ว คาดว่าราคายางในประเทศยังมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้น ในไตรมาสสุดท้ายของปี 2563 อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่ราคายางปรับขึ้นสูงนั้นต้องคอยระวังปัญหาการทุบราคาในลักษณะอันใดอันหนึ่งที่ไม่สามารถคาดเดาได้ แต่จากปัจจัยที่เกื้อหนุนต่างๆที่เกิดขึ้นคาดว่าการทุบราคาจะเป็นผลให้ราคายางโดยเฉลี่ยช่วง 3 เดือนสุดท้ายของปีนี้จะไม่ต่ำกว่า กก.ละ 70 บาทและอาจทะลุถึง 100 บาทได้ในที่สุด

ตั้งเป้าผลิต 2 แสนตันต่อปี
ผู้ว่าการยางฯ กล่าวว่า”หากมีการทุบราคาเกิดขึ้นจริงและทำให้ราคายางลดลงเร็วอย่างน่าสงสัย กทย. ก็มีมาตรการรองรับ เช่น การชะลอยางพาราไม่ให้เข้าสู่ตลาด การรับซื้อยางในตลาดของกยท.เอง การสนับสนุนให้ใช้ยางในประเทศเพิ่มขึ้น ให้ได้ตามเป้าหมาย 2 แสนตันต่อปี เป็นต้น”

ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดเสถียรของราคายาง จำเป็นที่กยท. ต้องเข้าไปดูแลให้ทุกหน่วยงานในห่วงโซ่ยางพารา ที่ประกอบด้วย เกษตรกร ผู้ส่งออก และผู้ประกอบการ ซึ่งในส่วนของเกษตรกรในขณะนี้ไม่น่าเป็นห่วงแล้ว ราคาที่ปรับขึ้นทำให้รายได้เพิ่มขึ้นอยู่ในจุดเป็นที่น่าพอใจ จากก่อนหน้านี้เกษตรกรอาจเป็นห่วงกรณีราคาที่ได้รับยังต่ำกว่าต้นทุนการผลิต แต่ปัจจุบันเมื่อมีการประกันรายได้ก็ไม่จำเป็นต้องพูดถึงต้นทุนการผลิต แต่ปัจจุบันการประกันราคา ยังต้องดำเนินการต่อไป เพื่อความสบายใจของเกษตรกร ซึ่งกยท. อยู่ระหว่างปรับแก้รายละเอียดก่อนเสนอให้คณะรัฐมนตรี(ครม.)พิจารณาต่อไป

มาตรการรองรับปัญหาที่อาจเกิดขึ้น
ในขณะที่ผู้ประกอบการได้ส่งสัญญาณมายัง กยท.ว่า สามารถปรับตัวเพื่อใช้วัตถุดิบยางพาราในราคาที่สูงขึ้นได้แล้ว จึงเหลือเพียงกลุ่มผู้ส่งออก ที่กยท.จะหารือในสัปดาห์หน้า ว่าได้รับผลกระทบจากราคายางที่ปรับขึ้นนี้อย่างไรบ้าง

เบื้องต้น กยท.จะขอทบทวนมติครม. เพื่อปรับมาตรการอุดหนุนอัตราดอกเบี้ยเงินกู้กับผู้ส่งออกยาง วงเงิน 2 หมื่นล้านบาท จากเดิมจะปล่อยกู้ดอกเบี้ยเงินกู้ต่ำ 3 % เฉพาะปริมาณส่งออกยางพาราที่เพิ่มขึ้นในปีนี้ จะเปลี่ยนเป็นทางเลือกที่เพิ่มขึ้นใหม่ คือ คิดอัตราดอกเบี้ยเพียง 2 %เท่ากับผู้ที่สามารถส่งออกได้ในปีนี้ที่มีปัญหาเรื่องโควิด และราคายางที่ปรับเพิ่มขึ้น

นอกจากนี้จะปล่อยกู้ให้ผู้ส่งออกที่ซื้อยางเพื่อเก็บสต็อกในช่วงโควิด  โดยถือว่ามีส่วนช่วยเหลือเกษตรกร รวมทั้งจะสนับสนุนผู้ประกอบการที่ขยายกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นโดยจะผ่อนปรนเงื่อนไขจากเดิมที่กำหนดการขยายกำลังการผลิตไว้ที่ปีละ 4 หมื่นตัน ลดลงให้เพียง 2 หมื่นตัน

ขณะที่ในการประชุมคณะกรรมการติดตามและเสนอมาตรการแก้ไขปัญหาราคายางพาราและรักษาเสถียรภาพราคายาง ครั้งที่ 3/2563 ได้รับทราบถึงสถานการณ์ผลผลิตยางพาราโลกมีแนวโน้มเติบโตในอัตรา 3-6% ต่อปีจากพื้นที่เพาะปลูกใหม่ที่ทยอยเข้าสู่ตลาดหลังจากเร่งขยายพื้นที่เพาะปลูกในช่วงปี 2547-2555 โดยเฉพาะผลผลิตของจีนที่ปลูกในกลุ่มประเทศ CLMV ในขณะที่ความต้องการใช้ยางพาราของโลกคาดว่าจะขยายตัว 4-5% ต่อปี ดังนั้นเพื่อให้ราคายางพารามีเสถียรภาพจึงกำหนดมาตรการต่างๆทั้งด้านการบริหารจัดการดีมานด์และซับพลาย รวมถึงออกแบบกลไกตลาดให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันด้วย

Exit mobile version