ยอดติดเชื้อโควิด-19ทั่วโลกพุ่งวันเดียวครึ่งล้าน ขณะฝรั่งเศสวิกฤตหนัก ต้องล็อคดาวน์ทั้งประเทศ

2192

มีรายงานสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ทั่วโลก ว่ายังคงน่าเป็นห่วง ล่าสุดในวันที่ 29 ตุลาคม ตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ทั่วโลกเพิ่มขึ้นถึงครึ่งล้านที่ 501,152 คนใน 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา ทำให้ตัวเลขผู้ติดเชื้อสะสมทั่วโลกขยับขึ้นไปอยู่ที่ 44,738,455 คนแล้ว

ฝั่งยุโรปก็กลับมาพบว่าเป็นศูนย์กลางการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสที่ระบาดไปอย่างรวดเร็ว โดยช่วง 7 วันที่ผ่านมา มีตัวเลขเฉลี่ยการติดเชื้อรายใหม่อยู่ที่วันละเกินกว่า 220,000 คน เพิ่มขึ้นร้อยละ 44 เมื่อเทียบกับสัปดาห์ก่อนหน้านี้ นอกจากนั้นอัตราเฉลี่ยการเสียชีวิตรายวันก็อยู่ที่เกือบ 2,000 คน ซึ่งรัฐบาลหลายประเทศได้ใช้มาตรการควบคุมโรค เพื่อหาทางยับยั้งการแพร่ระบาดระลอกสอง ส่วนช่วงที่ติดเชื้อสูงสุดนั้นเป็นช่วงเดือน เม.ย.พบว่า อัตราการเสียชีวิตรายวันอยู่ที่กว่า 4,000 คน

ประเทศที่มีผู้ติดเชื้อหลักล้านมี 8 ประเทศ ประกอบด้วย สหรัฐฯ 9,117,931 ส่วนอินเดียผู้ติดเชื้อสะสมทำสถิติทะลุ 8 ล้านคนที่ 8,038,765 บราซิล 5,469,755 รัสเซีย 1,563,976 ฝรั่งเศส 1,235,132 สเปน 1,194,681 อาร์เจนตินา 13,533 และโคลอมเบีย 1,041,935

ขณะที่ยอดผู้เสียชีวิตทั่วโลกอยู่ที่ 1,178,516 ราย มีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น 7,093 รายในหนึ่งวันที่ผ่านมา มีสหรัฐเพียงประเทศเดียวที่มีผู้เสียชีวิตหลักพันที่ 1,040 ราย

ส่วนทางด้านฝรั่งเศส ประธานาธิบดี เอมมานูเอล มาครง แถลงว่า มาตรการล็อกดาวน์รอบใหม่นี้จะเริ่มบังคับใช้ตั้งแต่วันศุกร์เป็นต้นไปจนถึงสิ้นเดือน พ.ย.นี้เป็นอย่างน้อย โดยห้ามประชาชนออกจากบ้าน ยกเว้นในบางกรณี ได้แก่การซื้อสินค้าจำเป็น พบแพทย์ หรือ ออกกำลังกายแต่ต้องไม่เกิน 1 ชั่วโมง
ส่วนการออกไปทำงาน จะอนุญาตให้สำหรับผู้ที่นายจ้างพิจารณาแล้วเห็นว่าไม่สามารถทำงานจากที่บ้านได้ ขณะที่โรงเรียนส่วนใหญ่ยังเปิดทำการสอนตามปกติ

โดยมาตรการล็อกดาวน์รอบแรกของฝรั่งเศสเกิดขึ้นในเดือน มี.ค. บังคับใช้เป็นเวลานานนาน 8 สัปดาห์ ซึ่งได้ผลในการลดจำนวนผู้เสียชีวิต และผู้ป่วยที่ต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล แต่เมื่อผ่อนคลายมาตรการต่างๆ ตั้งแต่วันที่ 11 พ.ค. ทำให้เกิดการแพร่ระบาดอีกครั้ง ทั้งนี้การล็อกดาวน์จะมีผลนับตั้งแต่หลังเที่ยงคืนเข้าสู่วันศุกร์ที่ 30 ต.ค. จนถึงวันที่ 1 ธ.ค. นี้ หมายความว่าประชาชน “ต้องอยู่บ้านให้มากที่สุด” การเดินทางออกนอกเคหสถานต้องเป็นไปเพื่อการซื้อสิ่งของจำเป็น การไปพบแพทย์ หรือการไปทำงานซึ่งไม่อาจจัดการจากที่บ้านได้ โดยทุกครั้งที่ออกจากย้านต้องมีเอกสารยืนยันพร้อมแสดงต่อเจ้าหน้าที่