หลังจากที่รัฐสภา มีการประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญ เพื่อพิจารณาญัตติขอให้มีการเปิดอภิปรายทั่วไปในที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา เวลา18.30 น.ของวันที่ 26 ต.ค.2563 ขณะที่ นายจิรวัฒน์ อรัณยกานนท์ ส.ส.กทม. พรรคก้าวไกล กำลังอภิปรายกล่าวโจมตี นายกฯและเรียกร้องให้ลาออก
ทำให้นายนิโรธ สุนทรเลขา ส.ส.นครสวรรค์ พรรคพลังประชารัฐ ลุกขึ้นประท้วงว่า ผู้อภิปรายกล่าวด้วยถ้อยคำซ้ำซาก วนเวียน ไม่มีสิทธิมาบังคับให้นายกฯลาออก ทำให้นายชวน ที่ทำหน้าที่ประธานการประชุม วินิจฉัยว่า ผู้อภิปรายก็ได้อภิปรายตามกรอบ
แม้นายนิโรธ จะพยายามท้วงติงอีกครั้ง แต่นายชวน กดตัดไมค์ และให้นายจิรวัฒน์อภิปรายต่อว่า หากมีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ต้องมีการตั้งสสร. ตราบใดพล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ ไม่เชื่อว่า เราจะได้สสร.อย่างสุจริต โปร่งใส ซึ่งทางออกที่จะเป็นทางออกประเทศ นำไปสู่ความปรองดองได้ คือการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
หรือสถาบันใด ๆ แต่เกิดจากโซเชียลมีเดีย ซึ่งตนใช้โซเชียลมีเดียเยอะมาก ผู้อยู่เบื้องหลังความแตกแยก ก็ใช้โซเชียลมีเดีย เช่น การสร้างข่าวปลอมว่าจะมีรัฐบาลแห่งชาติ และให้ข่าวใส่ร้ายสถาบัน ประชาชนควรติดตามข่าวสารที่แท้จริง แม้การจัดการโซเชียลทำได้ยากมาก เพราะเป็นบริษัทต่างชาติ ดังนั้นต้องใช้วิจารณญาณ
แม้แต่เยาวชนบางคนยังบอกว่า มีต่างชาติให้การสนับสนุน อนาคตของประเทศไทยต้องไม่เป็นฐานทัพของประเทศใดไปสู้กับจีน เพราะประเทศเรามีทรัพยากรมาก หากผู้ใดให้ความร่วมมือถือว่าขายชาติ การชุมนุมยังมีความก้าวร้าว และจาบจ้วงอย่างชัดเจน แม้จะมีการเรียกร้องว่าหยุดใช้กฎหมายควบคุมผู้ที่เห็นต่าง
แต่เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม จะเป็นว่าขบวนเสด็จถูกคุกคามเสรีภาพ ไม่ใช่ขบวนฯเข้าไปหาม็อบ และยังถูกการพูดจาก้าวร้าวหยาบคายใส่ ต่อให้ไม่ใช่ขบวนเสด็จ ก็ไม่มีสิทธิ์ปิดถนนหรือตะโกนด่าใคร และไม่มีสิทธิ์เอาคีมเหล็ก ไปตีตำรวจ เป็นเหตุให้ต้องประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน เพื่อไม่ให้มีการชุมนุมที่มากเกินไป รัฐบาลควรจัดสถานที่ชุมนุมให้เยาวชนชุมนุมอย่างสงบและพูดคุยกับรัฐบาล แม้มีการบอกว่าปฏิรูปไม่ได้แปลว่าล้มล้าง เป็นความเข้าใจของคนส่วนน้อย ทั้งที่ความจริงไม่ต้องมีการปฏิรูปสถาบันและปฏิรูปไม่ได้อยู่แล้ว ขอให้ฝ่ายการเมืองที่ให้การสนับสนุน หยุดใช้เยาวชนที่เป็นผ้าขาวมาเป็นเครื่องมือ เพราะเวลาใกล้จะหมดแล้ว และอาจจะจบด้วยไม่มีแผ่นดินอยู่