ช่อซูบอ้วกหนักไมเกรนขึ้นไม่พร้อมไต่สวนคดีเงินบริจาค! บุญเกื้อเมตตายอมให้เลื่อน

5200

จากที่ศาลอาญานัดไต่สวนมูลฟ้องคดีหมายเลขดำ อ.1732/2563 ที่ พรรณิการ์ วานิช หรือ ช่อ โฆษกคณะก้าวหน้า โจทก์ยื่นฟ้อง บุญเกื้อ ปุสสเทโว โฆษกกลุ่มไทยภักดี จำเลย ในข้อหาหมิ่นประมาท, หมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326, 328 พร้อมเรียกค่าเสียหาย 1 ล้านบาท

โจทก์ฟ้องระบุพฤติการณ์ว่า เมื่อระหว่างวันที่ 1-3 พ.ค. 2563 คณะก้าวหน้าได้จัดโครงการ #MAYDAYMAYDAY เพื่อสนับสนุนศิลปินนักดนตรีอิสระที่ไม่สามารถประกอบอาชีพได้ในช่วงเวลารักษาระยะห่างทางสังคม โดยรายได้จากการระดมทุนเงินบริจาคระหว่างคอนเสิร์ตจะถูกส่งต่อไปให้เพื่อช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบ หรือความเดือดร้อนจากโรคติดเชื้อโควิด-19 เป็นเงินคนละ 3 พันบาท ภายใต้ชื่อกิจกรรมว่า “คอนเสิร์ตระดมทุน เมย์เดย์เมย์เดย์ เราช่วยกัน” คณะก้าวหน้าได้รับเงินบริจาคจำนวนทั้งสิ้น 7,282,897.34 บาท และได้ทำการส่งมอบเงินช่วยเหลือให้แก่ผู้ได้รับผลกระทบหรือเดือดร้อนจากโควิด-19 จำนวน 2,427 คน

โดยเมื่อวันที่ 28 มิ.ย. 2563 จำเลยในฐานะเจ้าของบัญชีผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ “บุญเกื้อ ปุสสเทโว” ได้ลงภาพและข้อความในเฟซบุ๊ก ทำนองว่า คุณช่อและคณะก้าวหน้ากลบเกลื่อนความผิดเรื่องอมเงินบริจาค อาชญากรรมย่อมทิ้งร่องรอยไว้เสมอ รายชื่อผู้ได้รับเงินมีพิรุธ สเตทเม้นท์ ลวงโลก ตรวจสอบทางทะเบียนราษฎรแล้วไม่พบว่ามีตัวตน จากข้อความดังกล่าว โจทก์มีชื่อเล่นว่าช่อ และเป็นหนึ่งในสมาชิกคณะก้าวหน้า ซึ่งเปิดบัญชีรับเงินบริจาคสำหรับโครงการ

การที่จำเลยใส่ความโจทก์ และคณะก้าวหน้าต่อสาธารณชนว่าอมเงินบริจาค เป็นอาชญากรรมทิ้งร่องรอย และจัดทำบัญชีรายชื่อผู้รับเงินอันเป็นเท็จ ย่อมทำให้โจทก์และคณะก้าวหน้าได้รับความเสียหาย เสื่อมเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง

ต่อมาวันที่ 29 มิ.ย. 2563 โจทก์ได้ชี้แจงรายละเอียดข้อเท็จจริงเกี่ยวกับรายชื่อผู้ได้รับเงินบริจาคและหลักฐานการรับ-จ่ายให้จำเลยทราบ และแจ้งให้จำเลยลบข้อความ ซึ่งเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์และคณะก้าวหน้าดังกล่าว แต่จำเลยเพิกเฉย และใส่ความย้ำว่าโจทก์อมเงินหรือโกงเงินบริจาคของประชาชน ทั้งที่เมื่อโจทก์ชี้แจงต่อจำเลยอย่างเปิดเผยแล้ว จำเลยย่อมสามารถตรวจสอบข้อเท็จจริงให้กระจ่างชัดได้ แต่กลับใส่ความโจทก์โดยมีวัตถุประสงค์ทางการเมือง

การกระทำดังกล่าวของจำเลยเป็นการใส่ความโจทก์ด้วยข้อความอันเป็นเท็จหรือข่าวปลอมต่อสาธารณะ จงใจทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย และขอใช้สิทธิเรียกร้องให้จำเลยชำระค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นจำนวนเงิน 1 ล้านบาท ซึ่งศาลได้รับคำฟ้องไว้และนัดไต่สวนมูลฟ้องโจทก์

วันนี้ น.ส.พรรณิการ์ และทนายความมาศาล ขณะที่นายบุญเกื้อ จำเลยก็เดินทางมาศาลพร้อมทนายความเช่นกัน โดยนายบุญเกื้อกล่าวก่อนพิจารณาคดีว่า ครั้งนี้เป็นการนัดมาเจอครั้งแรกเพื่อไต่สวนมูลฟ้อง ซึ่งก่อนหน้าที่ได้มีหนังสือมานัดขอเจรจาไกล่เกลี่ยแต่ตนปฎิเสธ ขอต่อสู้และใช้สิทธิของประชาชนที่จะตรวจสอบนักการเมือง โดยเฉพาะคณะก้าวหน้าใช้โครงการเมย์เดย์เมย์เดย์เราช่วยกัน เป็นโครงการที่รับบริจาคเงินจากประชาชนจำนวนมาก โครงการดังกล่าวต้องเป็นไปอย่างโปร่งใสและถูกตามวัตถุประสงค์ แต่ปรากฎว่าความเป็นจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพราะตนติดตามโครงการมาตั้งแต่ต้น และก็เป็นหนึ่งในผู้เสียหายที่บริจาคเงินไปเช่นกัน

ทั้งนี้นายบุญเกื้อ กล่าวอีกว่า คณะก้าวหน้าได้ใช้บัญชีส่วนตัวของคุณช่อ ทั้งที่ควรเป็นชื่อบัญชีของคณะทำงานที่มีผู้ลงนามร่วมกันไปเปิดบัญชี พอถูกตรวจสอบจากตอนที่เคยแจ้งว่าได้ปิดบัญชีแล้ว ที่จริงยังไม่ได้ปิดแต่อย่างใด พร้อมกับมีเงินเหลือในบัญชีอีก 2 แสนกว่าบาท ดังนั้นตนจะใช้คดีนี้เพื่อขอดูสเตทเม้นท์ของธนาคาร นำมาตรวจว่ามีความผิดปกติอย่างไรบ้าง เพื่อไปดำเนินคดีฉ้อโกงที่ตนได้แจ้งความไว้แล้ว โดยจะฟ้องแกนนำทั้ง 3 คนของคณะก้าวหน้า

“ตนได้ไปแจ้งความที่ สน.ปทุมวัน เรื่องที่คุณช่อ พรรณิการ์ ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ตำรวจได้รับแจ้งความไว้แล้ว โดยขอรายละเอียดเพิ่มเติมจากตน หากทำสำนวนเสร็จอาจจะมีหมายจับเชิญคุณช่อ พรรณิการ์ ไปในฐานะเป็นจำเลยก็ได้ เนื่องจากตนได้ส่งข้อมูลเพิ่มเติมให้ตำรวจหมดแล้ว ทางตำรวจระบุว่าอยู่ในอำนาจการสอบสวนและความผิดได้สำเร็จไปแล้ว” นายบุญเกื้อ กล่าว

ต่อมา เมื่อถึงเวลาศาลพิจารณา ทนายความโจทก์ได้แถลงว่า ขอเลื่อนการไต่สวนในวันนี้ ได้เตรียมพยานปาก น.ส.พรรณิการ์ มาเบิกความเพียงปากเดียว แต่เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา น.ส.พรรณิการ์ ป่วยเป็นไมเกรน มีอาการอาเจียนอย่างมาก รวมทั้งปวดศีรษะ ทำให้ไม่สามารถเบิกความได้ แต่จะขอส่งคำเบิกความเป็นเอกสารแทน ซึ่งศาลสอบถามฝ่ายจำเลยแล้วคัดค้าน โดยทนายความจำเลยแถลงต่อศาลว่า อยากให้ น.ส.พรรณิการ์ เบิกความด้วยตนเองมากกว่า แต่ไม่คัดค้านหากโจทก์จะเลื่อนไปเบิกความในนัดหน้า ศาลพิเคราะห์แล้วจึงอนุญาตให้เลื่อนการไต่สวนมูลฟ้องโจทก์ ไปเป็นวันที่ 6 พ.ย.นี้ เวลา 09.00 น.

ภายหลัง นายบุญเกื้อ ให้สัมภาษณ์อีกครั้งว่า ได้เจอคุณช่อที่ห้องพิจารณา ทนายความเขาแถลงว่าคุณช่อป่วย ไม่สามารถเบิกความด้วยตนเองได้ จึงขอยื่นคำเบิกความเป็นเอกสาร แต่เราเห็นว่าควรจะเบิกความด้วยตัวเองอย่างตรงไปตรงมา เพื่อจำเลยจะได้ถามซักค้านด้วย ฝ่ายโจทก์เขาจึงขอเลื่อนเบิกความไปนัดหน้า ซึ่งครั้งนี้เราได้เมตตาไม่คัดค้าน ศาลจึงอนุญาตให้เลื่อนไปเบิกความในวันที่ 6 พ.ย. 2563 และในวันนี้ได้กุญแจสำคัญมาแล้ว คือขอให้ศาลมีคำสั่งเรียกข้อมูลสเตทเม้นท์ หรือบัญชีการรับโอนเงินธนาคารย้อนหลัง ซึ่งศาลอนุญาตแล้ว หลังจากนี้จะได้ไปยื่นขอสเตทเม้นท์ตัวจริงกับธนาคารด้วยตัวเอง

อย่างไรก็ตาม นายบุญเกื้อ กล่าวว่า น.ส.พรรณิการ์ แถลงว่าป่วยเป็นไมเกรนเมื่อช่วงเช้า ก็คงเห็นตนแถลงว่าจะไปแจ้งดำเนินคดีหรือเปล่าไม่ทราบ เห็นบอกว่าตอนเช้ามีอาการอาเจียนอย่างหนัก มาเจอวันนี้ ก็ดูร่างกายซูบผอมลงไป ซึ่งก็เลยเมตตาให้เลื่อนไปเบิกความสักหนึ่งนัด คนไทยต้องมีเมตตาต่อกัน แต่ครั้งหน้าต้องไม่เลื่อนแล้ว โดยตนเองจะเดินทางมาเพื่อซักค้านเหมือนเดิม ความจริงไม่อยากให้มีการเลื่อน แต่อยากจะให้ความจริงเรื่องนี้เปิดเผยโดยเร็วที่สุด และคดีนี้จะมีผลต่อเนื่องไปอีกหลายคดี รวมไปถึงคดีที่จะฟ้องข้อหาฉ้อโกงด้วย  และขอให้คณะก้าวหน้ายอมรับการตรวจสอบอย่างตรงไปตรงมา เอาข้อเท็จจริงมาพูดกัน

สำหรับตัว น.ส.พรรณิการ์ ในวันนี้ไม่ได้ให้สัมภาษณ์สื่อแต่อย่างใด โดยเดินทางกลับทันทีหลังศาลเลื่อนการพิจารณาคดีด้วยสีหน้าเคร่งเครียด และดูซูบผอมไปกว่าปกติด้วย