อดีตรองอธิการฯ มธ. จี้ ธนาธร-ปิยบุตร ยอมรับความจริง ปมม็อบหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ

3053

รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร จี้ ธนาธร-ปิยบุตร ยอมรับความจริง แกนนำม็อบและผู้ชุมนุม ม็อบหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ จาบจ้วงสถาบันอย่างร้ายแรง

เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2563 รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟสบุ๊ค กรณีที่แกนนำม็อบและผู้ชุมนุม ได้เรียกร้องให้มีการปฏิรูปสถาบัน และยืนยันว่า ไม่ใช่การล้มล้างสถาบัน โดยการกระทำของกลุ่มแกนนำและผู้ชุมนุมนั้น ได้มีการจาบจ้วงสถาบันอย่างร้ายแรง โดยระบุข้อความว่า

“การประชุมที่จะเกิดขึ้นจะเป็นเวทีที่ฝ่ายรัฐบาลและสมาชิกวุฒิสภาใช้ในการกล่าวหานักเรียน นักศึกษา และประชาชน ว่า ล้มเจ้า “
“พวกเขากำลังปลุกให้ประชาชนเกลียดชังกันเอง ให้ความขัดแย้งร้าวลึกยิ่งขึ้น จนประชาชนปะทะกันเองแทนเจ้าหน้าที่รัฐ”
“ผมยืนยันในที่นี้อีกครั้งว่า การเรียกร้องให้เกิดการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ ไม่เท่ากับการล้มล้างแน่นอน”
จาก fb ของ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ
“หมดเวลาของการประนีประนอม จะไม่มีการเจรจาเพื่อลดเพดานการต่อสู้ใดๆทั้งสิ้น วันนี้มีแค่สองทางให้เลือกเท่านั้น คือจะสู้เพือเป็นคนที่เท่ากับเขา หรือจะยอมแพ้ แล้วเป็นแค่ฝุ่นใต้ตีนพวกเขาต่อไป”
จาก fb ของ ชลธิชา แจ้งเร็ว 1 ในแกนนำคณะราษฎร 2563
คุณธนาธรระบุว่า รัฐบาลกำลังปลุกให้ประชาชนเกลียดชังกันเอง ด้วยการกล่าวหานักเรียน นักศึกษา ประชาชาชนว่า “ล้มเจ้า” เพื่อให้ความขัดแย้ง ร้าวลึกยิ่งขึ้น เพื่อให้ประชาชนที่อยู่คนละฝ่ายปะทะกันเองแทนเจ้าหน้าที่ของรัฐ และยังบอกว่า นักเรียน นักศึกษา ประชาชน เพียงต้องการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ ไม่ได้คิดล้มเจ้าแต่อย่างใด
จริงๆแล้ว รัฐบาลจะคิดอย่างไรไม่ทราบ แต่ก็ยังไม่เคยได้ยินนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีคนไหน กล่าวหาผู้ชุมนุมว่า ล้มเจ้าในที่สาธารณะแม้แต่ครั้งเดียว ได้ยินแต่ในสื่อ และคนที่ไม่เห็นด้วยกับกลุ่ม คณะราษฎรที่ตั้งข้อกล่าวหา
แต่จะล้มเจ้าหรือไม่ ลองดูข้อความที่คุณ ชลธิชา แจ้งเร็วโพสต์ใน face book เร็วๆนี้ ตามที่นำมาให้ดูด้านบนแล้ว หากการปฏิรูปสถาบันพระมหาษัตริย์ ตามความต้องการของคุณชลธิชา แจ้งเร็ว คือการทำให้องค์พระมหากษัตริย์มีสถานะทางสังคมเท่ากับประชาชนทั่วไปทุกคน
เช่นนี้ หากไม่เรียกว่า “ล้มเจ้า” ก็ต้องขอให้ช่วยนิยามคำว่า “ล้มเจ้า”ให้หน่อยว่า จริงๆแล้วหมายถึงอะไร
ความจริงความเกลียดชัง ความแตกแยก ร้าวลึก ไม่ได้เกิดจากการตั้งข้อหาล้มเจ้าหรอก แต่มันเกิดจากการปราศรัยของแกนนำการชุมนุม และพฤติกรรมของผู้ชุมนุมหลายคน ที่ย่ำยีสถาบันพระมหากษัตริย์ในระดับที่ไม่ใช่คนที่ยังเคารพ เทิดทูนองค์พระมหากษัตริย์รับไม่ได้เท่านั้น แต่คนทั่วไปที่ไม่ได้มีความผูกพันกับสถาบันพระมหากษัตริย์มากนัก ก็ยังรับไม่ได้ และเริ่มที่จะทนไม่ไหวกันแล้ว
พูดกันอย่างไม่เข้าข้างฝ่ายใด เมื่อโลกเปลี่ยน ประเทศเปลี่ยน สถาบันพระมหาษัตริย์ ก็ต้องมีการปรับตัว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ได้ทรงปรับเปลี่ยนบทบาทของพระมหากษัตริย์อย่างมหาศาล เมื่อเทียบกับพระมหากษัตริย์ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์
ด้วยพระปรีชาสามารถ พระองค์ทรงใช้เวลาส่วนใหญ่ในชีวิต ลงไปแก้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนในชนบททั่วประเทศ แตกต่างจากพระราชกรณียกิจ ของพระมหากษัตริย์พระองค์ก่อนๆอย่างมาก
เชื่อว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน ก็ได้ทรงรับทราบความประสงค์ของผู้ชุมนุมเป็นอย่างดี และคิดว่าพระองค์ทรงตระหนักถึงความจำเป็นที่จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงอยู่แล้ว
พระราชอิริยาบทที่ทรงทักทายประชาชน โดยเฉพาะกับชายที่ยืนถือพระบรมฉายาลักษณ์ท่ามกลางการชุมนุมของม็อบปลดแอกที่เซ็นทรัลปิ่นเกล้า ซึ่งสมาชิกพรรคก้าวไกลมองว่าเป็นการส่งสัญญานการต่อสู้ของพระองค์ แต่ผมกลับมองอีกมุมหนึ่งว่าพระองค์ทรงส่งสัญญานว่า ทรงตระหนักดีถึงสิ่งที่ผู้ชุมนุมต้องการ
สิ่งที่ทำให้ทุกอย่างยากขึ้นคือ การกระทำของแกนนำการชุมนุมและผู้ชุมนุมที่ล่วงเกินพระองค์ท่านในระดับที่เกินเลยไปมาก
หากคุณธนาธรและอ.ปิยบุตรมีความจริงใจที่จะปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ ไม่ใช่การล้มล้าง จะต้องยอมรับความจริงก่อนว่า มีการกระทำของแกนนำผู้ชุมนุม และผู้ชุมนุมจำนวนมากที่เป็นการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพอย่างร้ายแรง และมากขึ้นทุกวัน
จากนั้นจะต้องช่วยปราม หรือจะดีที่สุดให้หยุดการกระทำดังกล่าวเสีย
หากเป็นเช่นนี้ได้ และไม่หวังผลถึงขนาดให้เป็นไปตามข้อเรียกร้อง 10 ข้อที่สุดโต่งทุกข้อ การปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้
เสียทีเดียว