กอร.ฉ. แฉขบวนการเฟกนิวส์ ปั่นข่าวใส่ร้ายเจ้าหน้าที่ขู่ทำร้ายคนร่วมม็อบ พบต้นตอส่งจากต่างประเทศ

2157

ที่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) กองอำนวยการร่วมแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง (กอร.ฉ.) พล.ต.ต.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

พร้อมด้วย พล.ต.ต.ปิยะ ต๊ะวิชัย รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ ดีพอ และ พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษก ตร. ร่วมกันแถลงสรุปภาพรวมสถานการณ์การชุมนุมและการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่

โดย พล.ต.ต.ยิ่งยศ กล่าวว่า เรามีการดำเนินการให้เกิดความสมดุลในการบังคับใช้กฎหมาย การรักษาความสงบ-ความปลอดภัยของสังคม ไม่ว่ามวลชนจะฝ่ายไหนก็ตาม ส่วนกรณีที่จะมีเหตุความรุนแรงเกิดขึ้นในอนาคต ทางเจ้าหน้าที่ก็จะมีการปรับไปตามสถานการณ์ โดยเรื่องนี้ผู้บัญชาตำรวจแห่งชาติได้มีการทบทวนวิธีการปฏิบัติให้มีการสอดคล้องกับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นตลอดเวลา ไม่ว่าสถานการณ์ไปในทิศทางใด ตำรวจก็พร้อมปฏิบัติ

ด้าน พล.ต.ต.ปิยะ กล่าวว่า ในพื้นที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล ได้มีการชุมนุมในพื้นที่ต่าง ๆ จุดสำคัญ บริเวณเดอะมอลล์บางแค และเซ็นทรัลปิ่นเกล้า นอกจากนี้ยังมีจุดอื่น ๆ ที่มีการชุมนุมแต่จำนวนไม่มากนัก เช่น เดอะมอลล์บางกะปิ, ห้างน้อมจิต, บีทีเอสห้าแยกลาดพร้าว, แยกสาธุประดิษฐ์, บีทีเอสบางนา, แยกอุดมสุข และบีทีเอสรัชโยธิน ซึ่งการดำเนินการได้ให้ผู้กำกับการ หัวหน้าสถานี และผู้บังคับการพื้นที่เป็นผู้บริหารจัดการสถานการณ์ ทั้งนี้ บช.น.ได้จัดกำลังพลเสริมไว้สำหรับสนับสนุนการปฏิบัติของ สน. และบก.พื้นที่ไว้เรียบร้อย

สำหรับการดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดเกี่ยวกับการชุมนุมที่ผ่านมา ได้มีการพยายามกระทำโดยการแจ้งข้อมูลข่าวสารอันเป็นเท็จ หรือ เฟกนิวส์ ให้ประชาชนหลงเชื่อว่ามีเจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือ ตำรวจตระเวนชายแดน เข้าไปอยู่ในม็อบและก่อความไม่สงบ วุ่นวาย ในส่วนนี้ทาง บช.น.ได้มีการแจ้งความร้องทุกข์ โดย สน.บางนาได้ควบคุมตัว นายประวิทย์ สมรัตน์ ผู้ต้องหาที่ปรากฏในภาพมาดำเนินคดี ส่งฟ้องยังศาลอาญาพระโขนง ซึ่งได้มีคำพิพากษาให้รอการกำหนดโทษไว้ 2 ปี คุมประพฤติ 4 ครั้ง ภายในเวลา 2 เดือน บริการสังคม 30 ชั่วโมง หลังจากนั้นให้มารายงานตัว 3 เดือนต่อครั้ง จนครบเวลากำหนดโทษ

ส่วนการตรวจสอบโรงงานผลิตหมวกนิรภัย จากการตรวจสอบในพื้นที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล ยังไม่มีการจับกุม คาดว่าจะเป็นเฟกนิวส์ ซึ่งจะส่งเรื่องให้ บก.ปอท. ตรวจสอบดำเนินการตามกระบวนการต่อไป หากมีการตรวจสอบหรือจับกุม จะเป็นการจับกุมหมวกนิรภัยที่ไม่ได้มาตรฐาน ซึ่งเป็นไปตามหน้าที่ปกติของตำรวจที่ต้องดำเนินการอยู่แล้ว

ขณะที่ พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ กล่าวว่า ช่วงนี้สถานการณ์สื่อสังคมออนไลน์มีการพยายามสร้างสถานการณ์ให้ประชาชนและผู้ชุมนุมเกิดความหวาดกลัว มีการบิดเบือน นำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จ เช่น บอกว่าหากมีการเผชิญหน้าระหว่างเจ้าหน้าที่ของรัฐและผู้ชุมนุม เจ้าหน้าที่รัฐจะมีการใช้อาวุธปืนใช้กระสุนจริงยิงเข้าใส่กลุ่มผู้ชุมนุม ซึ่งในความเป็นจริงกอร.ฉ.ไม่มีคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ใช้กระสุนจริงกับผู้ชุมนุมอย่างแน่นอน และขอยืนยันว่าการปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ดำเนินการภายใต้กฎหมายอย่างเคร่งครัด ซึ่งมีอยู่ 2 โพสต์ โดยโพสต์แรกในทวิตเตอร์ ระบุว่า ทหารจะสั่งให้ ตร.หมอบลง จากนั้น ทหารจะยิงเข้าไปหาประชาชน

ส่วนอีกโพสต์เป็นเฟซบุ๊ก โดยคนโพสต์ข้อความอยู่ต่างประเทศ ได้เคลื่อนไหวเกี่ยวกับเรื่องความมั่นคงอยู่ตลอด และมีหมายจับ ซึ่งมีข้อความระบุว่า ช่วยกันกระจายข่าวด้วยครับ ตอนนี้มีคำสั่งรับมาแล้วว่า จะให้สังหารหมู่ประชาชนและนักศึกษา ทั้งนี้ขอยืนยันว่า เป็นข่าวปลอม หรือ เฟกนิวส์ ที่มีเนื้อหารุนแรง ก่อความสับสน สร้างความตื่นตระหนกในสังคม การกระทำดังกล่าวเป็นความผิดตามพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2560 มาตรา 14 และฝ่าฝืนประกาศหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง ฉบับที่ 4 อย่างไรก็ตามขอความร่วมมือประชาชนหากพบเห็นโพสต์ลักษณะนี้อย่าส่งต่อ เพราะอาจสร้างความสับสนและความตื่นตระหนกในสังคม