จากกรณีที่วันนี้ (29 พฤษภาคม 2567) อัยการสูงสุดนัดฟังคำสั่งคดี ม.112 ของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กรณีให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนที่ประเทศเกาหลีใต้
เหตุเกิดเมื่อวันที่ 21 พ.ค. 58 ที่กรุงโซล สาธารณรัฐเกาหลี (เกาหลีใต้) และประเทศไทยเกี่ยวพันกันอันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร ตาม ป.อาญา ม.112 โดยคณะทำงานพนักงานสอบสวนมีความเห็นควรสั่งฟ้อง แต่เนื่องจากคดีนี้เป็นคดีความผิดซึ่งมีโทษตามกฎหมายไทย ได้กระทำลงนอกราชอาณาจักรไทย จึงเป็นคดีที่อยู่ในอำนาจของอัยการสูงสุดเป็นผู้รับผิดชอบดำเนินคดี ต่อมา 17 ม.ค. นายทักษิณ ชินวัตร ได้ยื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรม ทำให้อัยการต้องพิจารณาแล้วเห็นว่ามีประเด็นที่ต้องสอบสวนเพิ่มเติม
แต่ต่อมา มีรายงานข่าวจากสำนักงานอัยการสูงสุด (อสส.) แจ้งว่า วันนี้ทนายความผู้รับมอบอำนาจจากนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เดินทางมายังสำนักงานคดีอาญา สำนักงาน อสส. เพื่อยื่นคำร้องขอเลื่อนนัดฟังคำสั่งคดีที่ถูกกล่าวหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ออกไปก่อนเนื่องจากนายทักษิณติดโควิด-19
ทั้งนี้ในช่วงเวลา 18.00 น.ยังไม่มีคำสั่งจากอธิบดีอัยการสำนักงานคดีอาญาฯ อนุญาตให้เลื่อนคดีหรือไม่ ซึ่งนายประยุทธ เพชรคุณ โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด ขอเชิญรับฟังการแถลงข่าวความคืบหน้าคดีกล่าวหานายทักษิณดังกล่าว
คดีดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 9 พ.ย. 2552 “ทักษิณ” ซึ่งเดินทางเข้าประเทศเกาหลีใต้ ให้สัมภาษณ์กับนิตยสารไทม์ โดยมีเนื้อหาบางช่วงบางตอนเข้าข่ายหมิ่นสถาบันฯ แต่ผ่านไปนานกว่า 6 ปี เมื่อปี 2558 กองทัพบกในยุคคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) มี พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหม เป็น ผบ.ทบ.และเลขาธิการ คสช. แจ้งความเอาผิดกับ “ทักษิณ” แก่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) หลังจากนั้นในปี 2559 บก.ปอท.ส่งสำนวนให้ อสส.
กระทั่ง 19 ก.ย. 2559 อสส.มีความเห็นควรสั่งฟ้อง “ทักษิณ” ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ พร้อมกับออกหมายจับ มีอายุความ 15 ปี โดยนับตั้งแต่การกระทำความผิดคือ ตั้งแต่ปี 2558 และจะหมดอายุความในปี 2573 อย่างไรก็ดีเมื่อ “ทักษิณ” กลับไทยเมื่อเดือน ส.ค. 2566 ที่ผ่านมา ได้ร้องขอความเป็นธรรมคดีนี้ ทำให้ อสส.ดำเนินการไต่สวนคดีดังกล่าวอีกครั้งหนึ่ง
โดย อสส.ได้เลื่อนนัดฟังคำสั่งฟ้องหรือไม่ฟ้องกับนายทักษิณมาแล้วเมื่อ 10 เม.ย. 2567 เนื่องจากมีประเด็นที่จะต้องสอบสวนเพิ่มเติมให้สิ้นกระแสความ แล้วให้พนักงานสอบสวนส่งผลการสอบสวนเพิ่มเติม และนัดฟังคำสั่งในวันนี้
แต่ล่าสุดทาง อสส. ได้แถลงกับสื่อมวลชน โดยมีประเด็นสำคัญก็คือ อัยการสูงสุด สั่งฟ้อง นายทักษิณ ชินวัตร ในข้อหามาตรา 112 และ ความผิดเกี่ยวกับ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ โดย อสส.มีคำสั่งเมื่อ 27 พ.ค. 67
วันนี้ ทักษิณขอเลื่อน เนื่องจากติดโควิด อัยการอนุญาตให้เลื่อน และนัดใหม่ 18 มิ.ย.67 เวลา 09:00 น. เพื่อยื่นฟ้องศาลต่อไป
แต่พนักงานอัยการไม่สามารถยื่นฟ้อง พันตำรวจโทหรือนายทักษิณ ชินวัตร ต่อศาลได้ เนื่องจาก พันตำรวจโทหรือนายทักษิณ ชินวัตร ไม่ได้มาพบพนักงานอัยการตามกำหนดนัด โดยได้มอบอำนาจให้ทนายความมายื่นขอเลื่อนการฟังคำสั่งของพนักงานอัยการ ออกไปเป็นวันที่ 25 มิถุนยายน 2567 เวลา 09.00 น. พร้อมแนบใบรับรองแพทย์ยืนยันว่าป่วย เนื่องจากติดโควิด โดยแพทย์ให้หยุดพักงานและสังเกตอาการเป็นเวลา 7 วัน นับตั้งแต่วันที่ 28 พฤษภาคม – 3 มิถุนายน 2567
ซึ่งนายวิพุธ บุญประสาท อัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 8 ในฐานะหัวหน้าพนักงานอัยการที่ได้รับมอบหมายจากอัยการสูงสุดให้เป็นผู้รับผิดชอบคดีนี้ ได้พิจารณาแล้วเห็นว่า เหตุขอเลื่อนคดีมีการอ้างการป่วยเพราะติดโควิด โดยหมอให้พักเพื่อสังเกตอาการ ถึงวันที่ 3 มิถุนายน 2567 จึงอนุญาตให้เลื่อนไปวันที่ 18 มิถุนายน 2567 เพื่อนัดให้พันตำรวจโทหรือนายทักษิณ ชินวัตร มาพบพนักงานอัยการ เพื่อยื่นฟ้องต่อศาลในวันดังกล่าวต่อไป
ทั้งนี้ผู้สื่อข่าวรายงาน นายทักษิณ อดีตนายกรัฐมนตรี ไม่ได้มาร่วมรับฟังคำสั่งฟ้องแต่อย่างใด
ส่วนประเด็นเรื่องการติดโควิดของนายทักษิณ นายประยุทธ เผยว่า ยืนยันว่ามีใบรับรองแพทย์ เป็นแพทย์รับรอง ออกวันที่ 28 พฤษภาคม ซึ่งในรายละเอียดอาจจะต้องไปดูอีกที ซึ่งไม่ได้ดูว่าจากรพ.ไหน แต่ยืนยันว่าตรวจสอบตามหลักการและเหตุ ส่วนการที่เลื่อนไปเรื่องเจ็บป่วยหรือมีเหตุขัดข้อง ถือว่าเป็นระบบงานทางธุรการ แต่หลักใหญ่ใจความคือท่านอัยการสูงสุดมีคำสั่งฟ้องเรียบร้อยแล้ว ซึ่งประเด็นการขอเลื่อนทำนองนี้ที่ดูเหตุขัดข้องมีหลายลักษณะ เช่น ถ้ามีผู้ต้องหาบางรายก็อาจจะมองว่ามีหลักทรัพย์ไม่พร้อมก็จะให้เลื่อนไป
“แน่นอนว่าการให้เลื่อนไปโดยมีคำยืนยันจากคุณหมอ เราก็ต้องเชื่อท่าน แต่อย่างไรก็ตามการที่ขอเลื่อนไป 25 มิ.ย.67 แต่เราก็เอ๊ะ หมอท่านให้แค่ ดูเอาวันที่ 3 เราก็ให้ถึงวันที่ 18 มิ.ย.67 ยังไงก็ยืนยันว่าการเลื่อนทำนองนี้ ไม่เสียหายต่อความยุติธรรม และไม่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงความเห็น คำสั่งของอสส.